WARM-HEARTED LEADERSHIP
ซึมซับคำว่าครอบครัวจากบ้านสุดอบอุ่น
ของ น็อต-วรฤทธิ์ เฟื่องอารมณ์
Text: ทัดจันทร์ เกตุสิงห์สร้อย
Photo: เปี่ยมพล จันทร์เปี่ยม, ภีร์ณัฐ พานิช, Tina Abbink
จากบ้านเดิมที่คุณน็อต-วรฤทธิ์ เฟื่องอารมณ์ อยู่มาตั้งแต่เกิด ถูกรื้อ สร้าง เพิ่มพื้นที่อัพไซส์เพื่อรองรับจำนวนสมาชิกที่เริ่มขยับขยายเพิ่มขึ้น วันนี้ Daybeds โชคดีเหลือเกินได้แวะเวียนมาทักทาย ท่ามกลางคิวที่แสนจะแน่นเอี๊ยดของคุณน็อต จากรั้วไม้สีน้ำตาลบานใหญ่หน้าบ้าน เราบางคนเดินเข้าไปข้างในอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะวางใจเมื่อลูกสมุนพันธุ์แจ๊ค รัสเซล ไม่ดุอย่างที่คิดเท่าไหร่ (แต่ก็ไม่ใช่จะไม่ดุซะทีเดียว) ด้านหน้าของเราคือบ้านขนาด 700 ตารางวา รูปทรงครึ่งสี่เหลี่ยม โอบล้อมสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่เราแอบทึกทักเอาเองว่ามันช่วยให้อุณหภูมิในบ้านเย็นกว่าข้างนอกเยอะเลย
ในส่วนของครึ่งสี่เหลี่ยม ด้านซ้ายเป็นพื้นที่ส่วนตัวของครอบครัวคุณแนน-ชลิตา เฟื่องอารมณ์ พื้นที่ส่วนกลางชั้นล่างฟากหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่น ฟังเพลงดูหนังอิงกายบนโซฟาใหญ่ตัวโปรดที่ขนมาจากบ้านหลังเก่า และอีกฟากคือส่วนของห้องครัวและโต๊ะทานข้าว ที่คุณน็อตใช้ประตูบานเฟี้ยมเป็นเสมือนที่คั่นกลางแบ่งโซน
ในแต่ละห้อง คุณน็อตใช้ประตูบานเฟี้ยมกั้นทั้งหมดเลยไหมคะ?
“ก็ไม่ทั้งหมด มีตรงหน้าบ้านที่เราตั้งใจให้ตอนกลางวันเปิดมารับอากาศ ผมเป็นคนไม่ชอบอยู่แอร์ ถ้าไม่ร้อนมากจริงๆ ก็จะไม่เปิดเลย ส่วนระหว่างห้องนั่งเล่นกับครัวตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะมีตรงส่วนนี้ คือมีแค่ส่วนของพี่แนน แล้วก็ชั้นสองยกสูงเลย แต่คนที่เขาดูฮวงจุ้ยเขาบอกว่า ‘ไม่ได้ มันเป็นอกทะลุ’ ก็เลยต้องมาต่อเติมทีหลัง แล้วก็มีแพลนจะทำห้องด้านหลังเป็นบาร์ ก็ไม่ได้ไว้ดื่มอย่างเดียวหรอก กะว่าเป็นมุมสำหรับดื่มกาแฟตอนเช้าอะไรแบบนี้ด้วย”
จากบ้านหลังเก่า คุณน็อตได้ปรับ-เปลี่ยนอะไรบ้างกว่าจะเป็นอย่างที่เราเห็นตอนนี้
“พื้นที่เดิมจะมีหลังข้างๆ ที่ตอนนนี้กำลังทุบเพื่อสร้างใหม่ มีแพลนที่จะสร้างเป็นห้องหนังสือ และห้อง
สวดมนต์ของคุณแม่ และอีกส่วนหนึ่งเตรียมเพื่อทำสวนครัว แล้วก็ มีซื้อที่เพิ่มตอนต่อเติมหลังของผมและของพี่แนน รวมๆ 700 ตารางวา จริงๆ ก่อนจะมาเป็นบ้านหลังนี้ ทุบมา 3 รอบแล้ว ตอนแรกทำบ้านกล่องเล็กๆ อยู่คนเดียว อยู่ไปอยู่มาเบื่อ ก็ทุบทิ้งเปลี่ยนธีมไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเป็นหลังนี้ ไม่ทุบแล้ว แต่น่าจะแต่งเพิ่มไปเรื่อยๆ ครับ
ส่วนต้นไม้ ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้เก่าที่ยืนต้นมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ มีในส่วนของต้นเล็กรอบสระที่ผมซื้อมาเปลี่ยนเอง นี่ก็เปลี่ยนมาหลายรอบแล้วล่ะ แล้วก็ต้นปาล์ม 3 ต้นหน้าบ้าน ที่เราเลือกเอง สระว่ายน้ำนี่เราชอบส่วนตัว แต่ไม่ได้เล่นนะ ดูอย่างเดียว ตั้งแต่ทำสระมากระโดดลงไปไม่เกิน 10 ครั้ง แต่เราชอบดู ดูแล้วรู้สึกว่ามันเย็นสบายดี นี่ก็ว่าจะเปลี่ยนเป็นระบบเกลือ รอหลานโตอีกนิด”
แสดงว่ามีแพลนจะแต่งบ้าน และต่อเติมอีก
“โอ๊ย เยอะ (หัวเราะ) ถ้าอีก 2 ปีมาใหม่ ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมว่าการแต่งบ้านไม่มีจุดสิ้นสุดหรอก หลักๆ คือเสร็จแล้วล่ะ อยู่ได้เลย เหลือแค่ Element ต่างๆ ที่มาเพิ่มเติมเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็แต่งไปเรื่อยๆ บ้านก็เหมือนชีวิตเรา ถ้าช่วงนั้นเราเป็นแบบไหน ไปพบเจออะไรมา เราก็จะเอาสิ่งที่พบเจอมาใส่เป็นความทรงจำว่าชิ้นไหนมาจากไหน ทำอะไร อย่างหลังนี้ผมก็เลือกวัสดุที่จะสร้างเองทุกอย่าง ในส่วนห้องทำงานต้องเป็นไม้สน ตัวบ้านทั้งหมดต้องปูน สลับกับอิฐในส่วนของห้องนั่งเล่น ทางเดินห้องนอน แล้วก็จะเหล็กกับอะลูมิเนียมปนบ้าง การแบ่งสัดส่วนก็เหมือนกัน แต่ฝั่งที่เป็นของพี่แนนผมจะไม่ยุ่งเลยนะ ปล่อยให้เขาแต่งเป็นสไตล์เขาเลย”
คำว่า ‘บ้าน’ สำหรับคุณน็อตคืออะไร?
“ผมว่าบ้านที่ปราศจากความอบอุ่น ความรัก และการพบหน้า ไม่น่าใช่ครอบครัวนะ ผมเลยพยายามออกแบบให้พื้นที่ใช้สอยส่วนกลางทุกอย่างอยู่รวมกัน อย่างห้องกินข้าวที่มีเพียงห้องเดียว เพื่อที่เวลากินข้าว ทุกคนจะต้องลงมากินพร้อมกัน พบหน้าค่าตากันให้มันเป็นศูนย์กลางของบ้าน พื้นที่นั่งพักตรงชานถัดจากบันไดขึ้นชั้นสอง ที่เชื่อมระหว่างห้องผมและห้องพี่แนน ที่ไม่ว่าตอนไหนลงก็เย็นสบายมาก เพราะมันเป็นช่องลมพอดี ครอบครัวที่สมบูรณ์มันต้องเป็นแบบนี้ จะให้ผมออกไปอยู่คนเดียวก็ไม่เอาหรอก เหงาตาย อยู่กันหลายๆ คน เห็นหน้ากันบ้างไม่เห็นบ้างยังจะดีซะกว่า
“ผมทำงานเยอะ ทั้งงานพิธีกรทางไทยรัฐทีวี, แฉแต่เช้า ออนแอร์ช่วงกลางคืนทางช่อง GMM 25 ถ่ายละคร 3 เรื่อง มีเรื่องรักร้าย, เพชรกลางไฟ และเหมือนคนละฟากฟ้า ซึ่ง 3 เรื่องก็น่าจะถ่ายทำเสร็จก่อนสิ้นปี เพราะสิ้นปีผมมีแพลนว่าจะบวช นอกจากนี้ก็จะมีธุรกิจที่จันทบุรี ชื่อ ‘บ้านตุ่มรีสอร์ท’ ซึ่งก็ให้คุณพ่อดูแล เพราะคุณพ่ออยู่ที่จันทบุรีซะเป็นส่วนใหญ่ และก็ธุรกิจเจลพริก The Gorilla Gel และอีก 2 ธุรกิจที่มีแพลนว่าจะทำ ที่ทำเยอะขนาดนี้เพราะอย่างหนึ่งเลย เราเชื่อว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่มั่นคงก็จริงในตอนนี้นะ แต่เป็นก็เป็นอาชีพที่เราเอาร่างกายไปใช้ทำงาน วันใดที่เราเจ็บป่วย หรือหยุด วันนั้นเราก็จะไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นการทำธุรกิจมารองรับก็น่าจะดีกว่า เดี๋ยวถ้าแก่กว่านี้จะให้ไปนั่งรอในกองถ่ายทั้งวันก็ไม่ไหวแล้วล่ะ นี่ก็อยู่มาทั้งชีวิตแล้ว (หัวเราะ) เผื่อว่าจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น แต่งบ้าน ดูแลครอบครัวที่ตอนนี้ยังมีเวลาไม่เต็มที่ ให้มันสมบูรณ์มากกว่านี้”
“ผมว่าการแต่งบ้านไม่มีจุดสิ้นสุดหรอก หลักๆ คือเสร็จแล้วล่ะ อยู่ได้เลย เหลือแค่ Element ต่างๆ ที่มาเพิ่มเติมเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็แต่งไปเรื่อยๆ บ้านก็เหมือนชีวิตเรา ถ้าช่วงนั้นเราเป็นแบบไหน ไปพบเจออะไรมา เราก็จะเอาสิ่งที่พบเจอมาใส่เป็นความทรงจำว่าชิ้นไหนมาจากไหน”
วรฤทธิ์ เฟื่องอารมณ์
บ้านเก่าที่เคยอยู่เป็นบ้านสไตล์คนไทยโบราณที่หลังคาไม่สูงมากนัก พอมามีบ้านหลังใหม่ คุณน็อตทำทุกอย่างให้ใหญ่หมดเพราะจะได้ไม่อึดอัด
บันไดปูนเปลือยขนาดใหญ่ เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจที่คุณน็อตสร้างไว้เพื่อเชื่อมระหว่างพื้นที่ส่วนของคุณน็อตและคุณแนนไม่ให้รู้สึกแบ่งแยกจนเกินไป ส่วนด้านหลังโต๊ะไม้ตัวเขื่อง คือประตูบานเฟี้ยมในส่วนของห้องรับแขก ที่พร้อมเปิดรับลมในวันอากาศดี
โต๊ะอาหารเพียงตัวเดียวในบ้าน จุดนัดพบที่สมาชิกทุกคนภายในบ้านจะเจอกันอย่างพร้อมหน้า
ชุดโซฟาตัวโปรดของคุณพ่อ (ชลิต เฟื่องอารมณ์)
ที่คุณน็อตยกจากบ้านหลังเก่ามาไว้ดูหนัง ฟังเพลง
มองจากโซฟาจุดพักบันได เราจะเห็นช่องลมขนาดใหญ่
ที่ลมจะพัดนำความเย็นมาสู่บ้านตั้งแต่เช้าจรดเย็น
กระจกบานใหญ่ริมห้องทำงาน นอกจากจะช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาแบบไม่ต้องพึ่งไฟฟ้า
ยังสามารถเปิดรับลมให้พัดมายามอ่านหนังสือได้อีกด้วย
‘ภาพวาดในหลวง’ ผลงานคุณศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี หนึ่งในหลากภาพที่คุณน็อตสะสม
ไม่ต้องมีอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีอะไรเยอะ เรียบง่าย สบายๆ
เพื่อให้รู้สึกว่าเป็นห้องสำหรับนอนพักผ่อนจริงๆ
นอกจากภาพในหลวงที่มีอยู่รอบบ้าน ยังมีเหล็กดัดรูปในหลวงเป่าแซกโซโฟน
ถูกสร้างยึดผนังไว้ตรงระเบียงด้วยความชอบส่วนตัว
วิวสระว่ายน้ำจากระเบียงชั้นสอง ที่คุณน็อตมักจะออกมายืนมองเสมอ เพราะนอกจากจะเห็นวิวด้านล่างแล้ว ยังได้ไอเย็นจากลมที่พัดผ่านน้ำก่อนมาถึงตัวบ้านอีกด้วย