THE JUNGLE BY IF I WERE A CARPENTER

ร่องรอยร้อยเรื่องราว

Text: นวภัทร ดัสดุลย์
Photo: เปี่ยมพล จันทร์เปี่ยม

ค่าเช่าที่ย่านเอกมัยเป็นที่รู้กันว่าแพงเอาการย่านหนึ่งของกรุงเทพ เรื่องนี้ คุณน็อต-วิชร ทองหล่อ ผู้ก่อตั้ง If I were a carpenter รู้ซึ้งเป็นอย่างดี เหตุผลส่วนหนึ่งที่ The Jungle ถือกำเนิดขึ้นก็เพราะภาระค่าเช่าที่ไม่คุ้มค่าต่อการแบกรับ ประกอบกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์คัสตอมเมดจากไม้เก่าเนื้อแข็งของไทย ของหนุ่มผู้จบด้านกราฟิกดีไซน์จาก Chelsea College of Arts ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ เติบโตขึ้นตามกาลเวลา คำจำกัดความที่ว่า ‘The Great Escape’ จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะหยิบมาใช้สำหรับการหลบหลีกปลีกตัวจากพื้นที่เช่าเดิมในซอยเอกมัย 10 มาตั้งรกรากใหม่บนที่ดินเปล่าซึ่งเสียค่าเช่าต่อเดือนต่ำกว่าในซอยปรีดีพนมยงค์ 42 ครั้งนี้ของ If I were a carpenter เพราะมันคือการหลีกหนีมาค้นพบพิกัดที่ลงตัวทั้งทำเลท่ามกลางบริบทแวดล้อมอันเงียบสงบและไม่ไกลจากเดิม รวมถึงการจ่ายค่าเช่าที่สมเหตุสมผลตามขนาดของพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นอย่างแท้จริง

“ที่เดิมพื้นที่มันค่อนข้างจำกัด เป็นแค่ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง แต่ของของเรามันชิ้นใหญ่ ผสมกับที่เรามีเวิร์กช็อปอยู่ตรงนี้แล้วมันยังมีที่ว่างเหลืออยู่ ก็เลยสร้างตรงนี้เพิ่มแล้วย้ายมารวมกันอยู่ในที่เดียว ลงทุนทำที่นี่ไปประมาณหนึ่งแต่จ่ายค่าเช่าถูกลง เพราะตรงนั้นหน้าร้านราคามันสูงกว่ากันเยอะ” กราฟิกหนุ่มผู้ศึกษาเรียนรู้เทคนิคและลงมือทำงานไม้ด้วยตัวเองเล่าถึงเหตุผล ของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

_MG_8928
คุณน็อตเนรมิต The Jungle ให้เป็นทั้งโชว์รูม ออฟฟิศ และสตูดิโอเวิร์กช็อปของ If I were a carpenter ตั้งรวมกันอยู่บนที่ดินหน้ากว้าง 18 เมตร ลึก 20 เมตร ภายใต้ปัจจัยที่สอดคล้องต้องกันกับแนวคิดของแบรนด์ และการใช้สิทธิ์ในฐานะผู้เช่าพื้นที่ชั่วคราว คุณน็อตเล่าว่า เขาตั้งใจให้สถานที่แห่งนี้เป็นโชว์รูมจัดเก็บเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงในวันหนึ่งหากเขาต้องย้ายออก The Jungle ก็จำต้องง่ายต่อการรื้อถอนด้วยเช่นกัน

“เฟอร์นิเจอร์มันต้องอยู่ในสถานที่ที่ไปด้วยกันได้ด้วยมันถึงจะมีความสวยเพิ่มขึ้นอีก เรามีสเปซเท่านี้เราก็นึกถึงเฟอร์นิเจอร์ของเราด้วยว่าเวลามันเข้ามาอยู่ในสเปซตรงนี้แล้วจะเป็นอย่างไร เราก็ใช้วัสุจากที่เราไปเจอมา คือเรามีโครงสร้างคร่าวๆ มาก่อน แล้วหาวัสดุมาแต่งให้มันเข้ากัน อยากให้มันเป็นออฟิศ โชว์รูม และมีพื้นที่เก็บของได้ด้วย”

_MG_8868_MG_8932เริ่มจากโกดังสูงโปร่งสีขรึมดำชิดขอบรั้วด้านหน้า ที่ปกคลุมด้วยร่มเงาของต้นจามจุรีสูงตระหง่านซึ่งเป็นส่วนของโชว์รูมและออฟฟิศ เกิดจากการนำตู้คอนเทนเนอร์เก่าสองใบมาตั้งขนานกันโดยเว้นระยะห่างให้เหลือสเปซตรงกลางขนาด 70 ตารางเมตร แล้วเทพื้นคอนกรีตทับเพื่อใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงสินค้าต้นแบบ พร้อมเจาะช่องด้านที่หันหน้าเข้าหากันโดยให้ฝั่งหนึ่งปูพื้นไม้เก่าแล้วเชื่อมสเปซให้เป็นส่วนเดียวกับโชว์รูม อีกฝั่งหนึ่งติดตั้งประตูบานเลื่อนและโครงหน้าต่างเหล็กกรุกระจกเพื่อทำเป็นออฟฟิศสำหรับทีมออกแบบประจำ อันประกอบไปด้วย คุณกวาง-อภิชญา เบ้าสิงห์สวย และ คุณหยก-ศิวกร ปาริวงษ์ ภายในเน้นเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่จำเป็นสำหรับการทำงานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงานที่สามารถนั่งประชุมกับลูกค้าได้ ชั้นวางของสำหรับจัดเก็บอุปกรณ์ในการทำงาน หรือแม้แต่ผนังไม้อัดชานอ้อยที่นอกจากจะใช้ปักหมุดหรือติดกระดาษเตือนความจำ ยังทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้อีกทางหนึ่ง ส่วนชั้นบนของตู้คอนเทนเนอร์ถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับเก็บของ ซึ่งมีการทำบันไดทางขึ้น และทำสะพานเป็นทางเดินเชื่อมจากฝั่งหนึ่งไปสู่อีกฝั่งหนึ่งได้อย่างสะดวก

_MG_8834_MG_8836_MG_8839_MG_8845_MG_8847หมู่มวลวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ ที่คุณน็อตได้มาจากการไปหาไม้เก่ามาทำเฟอร์นิเจอร์ อาทิ แผ่นหลังคาสังกะสีขึ้นสนิมที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี ตลอดจนแผ่นไม้เก่าที่ทิ้งร่องรอยการถูกใช้งานมานานนม ถูกนำกลับมาสร้างสรรค์ตกแต่งเป็นผนังอาคารเพื่อคุมโทนอารมณ์ธรรมชาติให้ลงตัวไปกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ของแบรนด์ แกมสีสันด้วยผ้ายอมครามและความเขียวชอุ่มของต้นไม้ซึ่งช่วยลดความแข็งกระด้างที่มีลงได้ไม่น้อยทีเดียว

ส่วนโครงหลังคาที่ครอบคลุมพื้นที่ใช้สอยทั้งหมดของโชว์รูมและออฟฟิศ คุณน็อตเลือกการขึ้นโครงสร้างเหล็กแทนการใช้เสาคอนกรีตซึ่งมีความแข็งแรงไม่ต่างกัน แต่ง่ายกว่าต่อการรื้อถอนและต้องเคลื่อนย้ายในอนาคต เลือกมุงหลังคาด้วยแผ่นเมทัลชีตทับฉวนกันความร้อนจากวัสดุธรรมชาติอย่างใบจากจนได้เป็นที่กำบังสองชั้น แถมได้อานิสงค์จากร่มเงาของต้นจามจุรีช่วยซับความร้อนไม่ให้กระจายตัวลงมายังพื้นที่ด้านล่างได้โดยตรง จึงไม่ทำให้อากาศอบอ้าวจนเกินไปแม้ในสเปซที่ปิดทึบรอบด้าน ส่วนช่องแสงรอบอาคารนั้นคุณน็อตเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบาอย่างแผ่นโพลีคาร์บอเนตแทนการใช้กระจกช่วยลดต้นทุนในการก่อสร้างลงมาได้ในตัว โดยที่แสงสว่างยังคงสามารถลอดผ่านเข้ามาภายในได้ไม่ต่างกัน หรือแม้แต่เหล็กไวร์เมชเหลือใช้จากการทำพื้นยังถูกหยิบกลับมาใช้ประโยชน์สร้างเป็นโคมไฟทำมือที่โดดเด่นไม่เหมือนใครอีกด้วย

_MG_8881ก่อนที่คุณน็อตจะพาเราเดินไปเยี่ยมชมสตูดิโอสำหรับทำเวิร์กช็อปทางด้านหลัง ที่เขานำตู้คอนเทนเนอร์มาตั้งพื้นแล้วขึ้นโครงหลังคาครอบพื้นที่แบบเปิดโล่ง หนุ่มมาดนิ่งได้ทิ้งท้ายถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าที่เป็นพระเอกของโชว์รูมแห่งนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “เสน่ห์ของไม้เก่า อย่างแรกคือลายมันจะไม่ซ้ำกัน เราชอบที่บางทีมันมีตำหนิ แต่เราก็จะมาโชว์ให้มันเด่นขึ้นมา หรือเรื่องราวของมันซึ่งถ้าเราไม่บอกก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรมาก่อน” ทุกตัวอักษรล้วนเป็นการสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ If I were a carpenter ที่ว่า เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นต่างมีคุณค่าและมีเรื่องราวพราวเสน่ห์ในตัวของมันเองทั้งสิ้น กับพื้นที่สร้างสรรค์แห่งใหม่ของ If I were a carpenter ก็เช่นเดียวกัน ร่องรอยต่างๆ ของนานาวัสดุที่ประกอบร่างรวมกัน อาจร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่แม้เพียงชั่วคราวแต่ก็งดงามในตัวของมันเอง

_MG_8849Contact: THE JUNGLE by If I were a carpenter
ซอยปรีดีพนมยงค์ 42 เปิดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-19.00 น.
โทร.0-2003-4974

 

 

 

 

 

 

 

          

Leave A Comment