MAHA NAKHON BANGKOK SKYBAR

Lunch Course สุดพิเศษในมุมมองบนเส้นของฟ้า

TextBoonake A.
Photo: ภคนันท์ เถาทอง

การได้ขึ้นมาบนที่สูงเสียดฟ้าเพื่อมารับอากาศบริสุทธิ์ และชื่นชมความสวยงามทางตาจากภาพเส้นขอบฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตา รวมกับภาพวิวของเมืองใหญ่ในเบื้องล่าง ในมุมมองมองเดียวเช่นดังกับในเวลานกบินทะยานไปในท้องฟ้า นับเป็นความสุขที่ใคร(ในข้อแม้ว่าต้องไม่กลัวความสูง) ต่างก็เรียกร้องอยากจะพาตัวเองไปสู่จุดนั้นให้ได้ซักครั้งในชีวิต

ใช่ครับตอนนี้ผมพาตัวเองมายังชั้น 76 ของอาคารมหานคร ซึ่ง ณ ที่แห่งนี้คือที่ตั้งของ Maha Nakhon Bangkok SkyBar ร้านอาหารระดับ Fine Dinning และบาร์เครื่องดื่มระดับพรีเมียม ที่ว่ากันว่าสูงที่สุดในประเทศ

การมาถึงในครั้งนี้ของผมไม่ได้มาเพียงแค่สูดอากาศ ชมวิว หรือชมพระอาทิตย์ตกบนฉากหลังของตัวเมืองกรุงเทพฯ แต่อย่างใด การมาที่ตึกมหานครในช่วงกลางวันในครั้งนี้ของผมพิเศษกว่านั้นคือการลองลิ้มชิมอาหารกลางวัน ซึ่งอาหารกลางวันมื้อนี้ก็ไม่ใช่อาหารธรรมดาทั่วไปครับแต่เป็น Lunch Course ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเชฟ Joshua Cameron เชฟหนุ่มจากนิวยอร์คผู้โด่งดังในวงการอาหารระดับโลก ผ่านประสบการณ์การเป็นเชฟในร้านอาหารระดับมิชชิลินสตาร์มาอย่างโชกโชน

วันนี้เขาจะมาทำอาหารตำรับ Western – Asian ที่ตัวเชฟคิดค้นขึ้นจากการผสมผสานวัตถุดิบ และเครื่องปรุงแบบไทยท้องถิ่นอย่างพิถีพิถัน จนได้ออกมาเป็นคอร์สอาหารกลางวันสุดพิเศษ(บริการตั้งแต่ 11.00-15.00 น.)ที่ผมกำลังจะได้มาลองชิม เพื่อให้ซึมซาบด้วยความรู้สึกและสัมผัสของตัว แล้วนำมาบอกเล่าต่อในพื้นที่ตรงนี้  ดังนั้นไม่ควรเสียเวลาไปมากกกว่านี้ไปลองชิมกันดูดีกว่า

เราเริ่มต้นทุกกระบวนการตั้งแต่เวลาประมาณ 10.30 น. เมื่อลิฟต์ความเร็วสูงของอาคารมหานคร พาเราพุ่งทะยานจากพื้นดินมุ่งตรงขึ้นสู่ชั้น 76 ในระยะเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากเปิดประตูลิฟต์ออกมา ก็พบกับความว้าว! แรกที่คอยต้อนรับ นั่นคือการตกแต่ง และการออกแบบภายในของ Maha Nakhon Bangkok SkyBar นั่นเอง

การออกแบบภายในและการตกแต่งนั้น ผมได้ข้อมูลมาว่า เป็นฝีมือการออกแบบของคุณ Tristan Auer สุดยอดอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศสจาก Wilson Associates

คุณทริสตองออกแบบร้านอาหารแห่งนี้ด้วยธีมคอนเซปต์เรื่องราวของนักเดินทาง และความสวยงามของโค้งน้ำเจ้าพระยา ซึ่งสิ่งที่เป็นธีมคอนเซปต์ที่ว่าโดยเฉพาะเรื่องความสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยาถูกสะท้อนออกมาให้เห็นในรายละเอียดแห่งความโค้งมนในทุกองค์ประกอบของตัวสถาปัตยกรรม

ผสานสไตล์ความโมเดิร์นคลาสสิคในสไตล์ยุโรปในยุค 1930 ที่มีความสุขุมลุ่มลึกในภาพลักษณ์ และมีความสวยงามอันเกิดขึ้นจากส่วนผสมระหว่างผ้ากรรมหยี่สีเรียบ ไม้สีน้ำตาลเข้ม เข้ากับชิ้นส่วนทองแดงสีขุ่นอย่างลงตัว

อีกส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่องราวของนักเดินทางที่ถูกบรรจุเข้าไป ก็มาจากของตกแต่งต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของสะสมของนักเดินทาง ไม่ว่าประติมากรรมรูปหัววัวกระทิงจากเสปน หน้าปกหนังสือเก่าจากฝรั่งเศส เครื่องเซรามิคเนื้อดีจากญี่ปุ่นและจีน รวมไปถึงแผ่นเซิร์ฟ และเครื่องดนตรีพื้นบ้านจากนิวกีนี ก็ล้วนขับเน้นบรรยากาศแห่งความ Exotic ได้เป็นอย่างดี

นอกจากภายในที่มีการตกแต่งอย่างวิจิตรแล้ว ทางร้านยังได้มีการแบ่งพื้นที่ออกมาเป็นโซนเอาท์ดอร์ให้แขกที่ต้องการสัมผัสลมเย็นธรรมชาติบนจุดสูง ได้นั่งแฮงค์เอาท์กับอาหารและเครื่องดื่มกันได้เพลินๆ ซึ่งโซนเอาท์ดอร์ถูกออกแบบด้วยคอนเซปต์ Oasis in The Sky เนรมิตป่าดงดิบแห่งความชุ่มชื่นบนท้องฟ้า ที่ยากจะหาได้จากที่ไหน

ผมใช้เวลาชื่นชมรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นจากสุนทรียะอันละเมียดอยู่นานพอสมควร นานจนพนักงานผู้ดูแลแจ้งมาว่า อาหาร Lunch Course พร้อมเสิร์ฟแล้วซึ่งเมนูในคอร์สที่ผมเลือกเริ่มต้นจากสตาร์ตเตอร์คือเมนู Grill Pork Jowl หรือสันคอหมูย่างจากจังหวัดน่าน เสิร์ฟพร้อมแตงกวาดอง ในรายละเอียดของเมนูนี้ตัวเชฟ Joshua มีวิธีคิดในการสร้างสรรค์ขึ้นจากเมนูคอหมูย่างพื้นถิ่นที่คนไทยนิยมทานกัน

โดยทำการเลือกชิ้นสันคอหมูออกานิคที่ดีที่สุดจากจังหวัดน่านมาหมักย่างเกือบเวลดัน จนมีความนุ่มฉ่ำ โดยด้วยข้าวคั่วหอมกรุ่น กินพร้อมกับเจลแจ่วรสเข้ม และแตงกวาดองรสนวลลิ้น นับเป็นคอมบิเนชั่นเรียกน้ำย่อยที่เข้ากันมาก

พักล้างปากด้วยเทเบิ้ลไวน์รสอ่อน ก่อนนำเข้าสู่จากต่อไปในเมนูเมนคอร์ส เมนูผมเลือกคือ Grill Pork Loin หรือสันในหมูย่าง เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งกระเทียมบด สลัดกะหล่ำดาว จานนี้เชฟก็ยังนำเนื้อหมูสันนอกออกานิคจากจังหวัดน่านมาประกอบอาหารเช่นเดิม

โดยชิ้นเนื้อหมูสันในถูกนำไป Sous Vide นานถึง 24 ชั่วโมง จนสุกแบบสโลว์คุกเพื่อรักษาเท็กซ์เจอร์ และความนุ่มฉ่ำ ก่อนนำไปย่างไฟอ่อนให้ขึ้นลายสีน้ำตาลเบาๆ ราดน้ำเกรวี่เข้มข้นปิดหน้า เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งบดเนียนนุ่มปรุงรสชาติเข้มหอมถึงเครื่องด้วยกระเทียมบด กินคู่สลัดกะหล่ำดาวแซมเบคอนเค็ม

ทานพร้อมกันทั้งชิ้นเนื้อหมู น้ำเกรวี มันฝรั่งบด และสลัดกะหล่ำ จะยิ่งได้รสชาติครบถ้วนสมบูรณ์เต็มความรู้สึกแห่งความอร่อยอย่างแท้จริง

เรารื่นรมย์กับรสชาติอาหารมาจนถึงเมนูปิดท้าย แน่นอนว่าต้องเมนูของหวาน ซึ่งที่นี่จะเลือกเสิร์ฟขนมทารต์ จะมีการเปลี่ยนไปตามวันให้ไม่ซ้ำกัน และวันนี้ที่นำมาเสิร์ฟคือทาร์ตชอกโกแลต ทานคู่กับซอสลาเวนเดอร์คาราเมล ตัวเนื้อครีมชอกโกแลตที่ถูกวางมาบนแป้งครัมเบิ้ลกรอบ

เมื่อตัดออกมาขนาดพอดีคำนำมาราดด้วยลาเวนเดอร์คารามลซอสจะได้รสชาติละมุมบนความหอมเข้มของชอกแลต เจือด้วยรสสัมผัสหอมหวานของคารเมลและกลิ่นหอมอโรมาของดอกลาเวนเดอร์  นับเป็นของหวานที่มีรสชาติอร่อยอย่างซับซ้อน ช่วยเพิ่มสีสันและลดทอนความคาวของอาหารจานหลักได้เป็นอย่างดี นับเป็นการปิดมื้ออาหารที่น่าประทับใจ

จริงๆ แล้วเมนูก็ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะยังมีตัวอาหารเมนูอื่นๆ ในคอร์สให้เลือกอีกไม่ว่าจะเป็น Cured Norwegian Salmon, Grain Salad,  Seared Andaman Sea Bass และ Parisian Gnochi มาจับคู่กันในคอร์สราคา 1,200 บาท

ก็ต้องบอกว่าเลยว่าสนนราคาไม่แพงเกินไป สำหรับคนที่ต้องการแสวงหาประสบการณ์แห่งรสชาติอาหารที่ดีระดับมิชชิลินสตาร์ ที่เครื่องเคียงอาหารเป็นวิวกว้างไกลสุดตาของภัตรคารที่สูงที่สุด

มากกว่านั้นช่วงเทศกาลปีใหม่ในวันเคาท์ดาวน์ทีกำลังจะเดินทางมาถงอีกไม่กี่อึดใจ ทางอาคารมหานคร และ Maha Nakhon Bangkok SkyBar ยังได้เตรียมปาร์ตี้เคาท์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่สุดพิเศษ ทั้งโชว์จากศิลปินชื่อดัง รวมถึงคอร์สอาหารชุดใหญ่ไว้เฉลิมฉลองในค่ำคืนแห่งความสุขกันอย่างมากมาย

หากสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในค่ำคืนสุดพิเศษก็สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/KingPowerMahanakhon หรือที่ https://kingpowermahanakhon.co.th   เรื่องดีๆ แบบนี้ Daybeds ไม่อยากให้คุณพลาดโอกาสจริงๆ

Leave A Comment