KALASIN
“เที่ยวกาฬสินธุ์ ฟินๆ อินๆ ไม่ซ้ำใคร”
ความหลงใหลในการเดินไม่เคยเหือดหายไป หัวใจยังคงเรียกร้องให้ออกไปค้นหาและลองอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งจริงๆ แล้ว ในส่วนลึกแล้วนั้น ชอบอะไรที่เงียบสงบ อย่างทริปนี้ เมื่อทราบว่าจะได้ไปเที่ยวกาฬสินธุ์ แม้ว่าในหัวจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่มาของไดโนเสาร์ในจังหวัดนี้เป็นลำดับแรก แต่เสียงหัวใจกลับเรียกหาภาพรอยยิ้มของชาวบ้าน อาหารการกิน และวิถีชีวิตเรียบง่ายในชนบท ก็เลยตัดสินใจว่าจะเก็บโปรแกรมแกะรอยเท้าไดโนเสาร์ไว้ในช่วงท้ายๆ ทริป แล้วมุ่งหน้าไปยังที่ๆ มีชาวบ้าน ที่ซึ่งยังมีความเป็นธรรมชาติของผู้คน ยังคงดำเนินวิถีชีวิตเดิมๆ เป็นลำดับแรก
สถานที่แรกที่เรามุ่งตรงไปคือ “บ้านโพน” หมู่บ้านวัฒนธรรมผู้ไทของกาฬสินธุ์ ซึ่งเมื่อได้ยินคำว่า “ผู้ไท” ก็รู้สึกสนุกแล้ว เพราะรู้เลยว่าจะต้องมีชาวบ้าน หนุ่มๆ สาวๆ ผู้เฒ่าผู้แก่แต่งกายในชุดพื้นบ้าน ให้ได้เก็บภาพสวยๆ สมใจแน่นอน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะนอกจากภาพแล้ว ก็ยังได้รู้ว่าที่นี่เขาหนักแน่นเรื่องการอนุรักษ์และสืบสานการทอผ้าไหมแพรวา อันได้รับการขนานนามว่าเป็นราชินีแห่งไหม เป็นผ้าทอมือพื้นเมืองหัตถกรรมพื้นบ้าน มีสีสันและเอกลักษณ์อันเป็นลวดลายของชาวผู้ไท ซึ่งจริงๆ แล้ว คนกลุ่มนี้อพยพมาจากแคว้นสิบสองจุไทย ข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งหลักแหล่งอยู่แถบเทือกเขาภูพาน และยังคงรักษาวัฒนธรรมการทอผ้าและการแต่งกายไว้ มีผ้าคลุมไหล่ลวดลายประณีต ซึ่งใครที่ได้มาเยี่ยมเยียนยังมีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการประดิษฐ์ลวดลายผ้าไหมแพรวาด้วยตัวเอง หรือจะแต่งชุดประจำท้องถิ่นให้กลมกลืนกับสาวบ้านโพน ถ่ายรูปลงไอจีเป็นที่ระลึกก็ไม่ว่ากัน
หลังจากที่เดินทางออกจากบ้านโพนแล้ว ก็เดินทางต่อ เพื่อไปค้นหาเรื่องราว ตำนานเล่าขาน ณ “พระธาตุยาคู” พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวกาฬสินธุ์ ซึ่งเล่าต่อกันว่า “พระธาตุยาคู” สร้างขึ้นเพราะความรักที่ไม่สมหวังระหว่างพระนางฟ้าหยาดกับพญาจันทราชผู้สวรรคตไปก่อน เพราะต่อสู้กับทหารฝ่ายพระบิดาของพระนางฟ้าหยาดที่เข้าขัดขวางความรักของทั้งสองทุกวิถีทาง ซึ่งทำให้พระนางฟ้าหยาดตรอมพระทัยตายตามคนรักของพระนางไป พระบิดาเสียพระทัยต่อความผิดครั้งนี้ เลยเป็นที่มาของการสร้างพระธาตุยาคูเป็นตัวแทนของความรักของทั้งสองพระองค์นั่นเอง โดยช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกๆ ปี ชาวกาฬสินธุ์จะจัดงานสรงน้ำพระธาตุยาคู เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา รวมถึงจัดประเพณีบุญบั้งไฟเพื่อเป็นการขอฝนและความร่มเย็น แน่นอนเมื่อมีงานเกิดขึ้นมาก็ต้องมีการรวมตัวของศิลปะหลายๆ แขนง ภาพที่ได้จึงมีความเป็นศิลปะแบบท้องถิ่นมากๆ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของนางรำในขบวนแห่ นักดนตรีพื้นเมือง ลีลาการฟ้อน การเซิ้ง ยิ่งขบวนแห่บั้งไฟยิ่งไม่ต้องพูดถึงสีสันแซ่บๆ สไตล์อีสาน พูดง่ายๆ ถ้าปล่อยช่างภาพหรือคนที่ชอบถ่ายภาพศิลปวัฒนธรรมไว้รับรองว่าอยู่ได้เป็นชั่วโมงจนได้รูปเต็มเมมโมรี่กล้องอย่างแน่นอน สำหรับอีกหนึ่งอันซีนของกาฬสินธุ์ที่ไม่ควรพลาด คือ “วัดวังคำ” ที่อำเภอเขาวง ที่บอกได้เลยว่าสวยไม่แพ้วัดในจังหวัดใหญ่ๆ เลย ด้วยสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น ได้แก่ สิมไทเมืองวัง คือพระอุโบสถรูปทรงศิลปะล้านช้างที่มีเอกลักษณ์งดงาม โดยพระอุโบสถมีหลังคามุข 3 ชั้น มีฉัตรตรงกลาง 9 ยอด หลังคาโค้งยาวลงมา ผนังด้านหลังพระอุโบสถมีรูปต้นโพธิ์ลวดลายประดับด้วยกระจกสี ภาพโดยรวมมีความงดงามวิจิตรจนรู้สึกภูมิใจแทนชาวกาฬสินธุ์ที่มีวัดอันสวยงามเช่นนี้
ได้เวลาไปแกะรอยไดโนเสาร์แล้ว แน่นอนว่ามากาฬสินธุ์ ต้องห้ามพลาดไปชม “พิพิธภัณฑ์สิรินธร” ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ และวนอุทยานภูแฝก อ.นาคู น่าตื่นเต้นไหมล่ะเมื่อจะได้รู้ว่ากระดูกไดโนเสาร์ที่ค้นพบที่นี่มีอายุหลายร้อยล้านปี แถมยังได้ประจันหน้ากับหุ่นที่จำลองไว้ได้เหมือนจริงมากๆ เดินชมที่นี่เพลินจนลืมเวลาเพราะว่าเขาจัดแบ่งโซนไว้ได้ดี เข้าใจง่าย ไล่ไปตามยุคต่างๆ ซึ่งความตื่นเต้นที่ต้องเก็บไว้ปิดท้ายนั่นก็คือการไปดูหลุมขุดค้นของจริงที่อยู่บนภูกุ้มข้าว ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นกระดูกไดโนเสาร์ของจริงที่อยู่ในหลุมขุด คือ ขนลุก ด้วยความที่เคยได้เห็นไดโนเสาร์มีชีวิตตัวเป็นๆ อยู่แค่ในจินตนาการ ในหนังหรือการ์ตูนต่างๆ ซึ่งพอได้มาเห็นว่าเขาเคยมีตัวตนอยู่จริงๆ ตรงหน้า จึงเป็นอะไรที่เหลือเชื่อและประทับใจมากๆ
ปิดท้ายวันด้วยชีวิตแบบสโลไลฟ์ที่ “สะพานเทพสุดา” ซึ่งเดินทางจากพิพิธภัณฑ์สิรินธรมาไม่ไกล สะพานข้ามเขื่อนลำน้ำปาวแห่งนี้ เป็นสะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศไทยเชื่อมเส้นทางขนส่งจากหนองคาย อุดรธานี ผ่านกาฬสินธุ์ ไปยังมุกดาหาร ซึ่งเป็นประตูสู่อินโดจีน มีความสำคัญในเรื่องการย่นระยะทางนั่นเอง ส่วนที่บอกว่าได้อารมณ์สโลไลฟ์นั้น ก็เพราะว่าอากาศที่นี่ดีเหลือเกิน ลมเย็นๆ ที่พัดมาก็เป็นอากาศบริสุทธิ์ล้วนๆ แถมยังได้ชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน และยังมีร้านอาหารบนแพให้ได้นั่งอร่อย ชมวิวเพลินๆ นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น ใครไม่ฟิน ใครไม่อินให้รู้ไป!!
การมาเยือนกาฬสินธุ์ในครั้งนี้ ประทับใจมากๆ เพราะเป็นการเที่ยวที่ได้ครบทุกอารมณ์จริงๆ คือทั้งสนุกไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ได้ลองทอผ้าที่บ้านโพน ซาบซึ้งไปกับตำนานเล่าขานของพระธาตุยาคูและพุทธศิลป์ที่ตระการตาของวัดวังคำ ตื่นเต้นไปกับการแกะรอยเท้าไดโนเสาร์ แล้วยังได้มาพักเหนื่อยชิลล์ๆ ชมวิวสวยๆ กินอาหารอร่อยๆ ที่สะพานเทพสุดาอีก การออกเดินทางครั้งนี้ทำให้ได้รู้ว่าประเทศไทยของเรายังมีสถานที่น่าท่องเที่ยวอีกมากมาย ทั้งวิถีเท่แบบไทยๆ วิถีชุมชน วิถีธรรมชาติอันแสนมหัศจรรย์ อยากให้ทุกคนได้ลองออกมาค้นหาประสบการณ์และเที่ยวเมืองไทยด้วยตัวเอง แล้วจะได้รู้ว่าเมืองไทยของเรายังมีสถานที่ท่องเที่ยวสุดวิเศษ ไม่แพ้ที่ใดในโลกเลย