DYSON V11 ABSOLUTE
“Dyson V11 Absolute: เมื่อเทคโนโลยีและความสวยงามด้านการออกแบบ ถูกรวมไว้ในหนึ่งเดียว”
Dyson V11 Absolute คือเครื่องดูดรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ Dyson ที่ว่ากันว่า นี่คือเครื่องดูดฝุ่นที่มีความสมบูรณ์พร้อมไปทั้งรูปแบบงานดีไซน์ที่สวยงาม และระบบการทำงานที่เปี่ยมความอัจฉริยะจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง
นั่นคือสิ่งที่เราได้ยินมาจากรีวิวเวอร์จากนักทดลองทั้งหลาย ที่ได้ลองใช้มัน และต้องบอกเลยว่านี่คือโอกาสอันดีเมื่อ Daybeds ได้รับเครื่องดูดรุ่นดังกล่าวมาทดลองใช้บ้าง
เราจะได้ทำการทดลองใช้อย่างผู้ใช้จริง ทุกโหมด ทุกเรื่องเล่าที่ถูกบรรจุอยู่ในเครื่องดูดฝุ่นรุ่นนี้ มาเล่าให้คุณังถึงประสบการณ์การ Hand On ในครั้งนี้ให้คุณได้ฟังกัน ว่าแต่จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น เราไปเริ่มจุดแรกของการใช้งานก่อนเลยดีกว่า
รูปแบบงานดีไซน์
หลังจากแกะกล่องที่มีการแพคกันมาอย่างซับซ้อนเพื่อป้องกันชิ้นส่วนและตัวเครื่องอย่างแน่นหนา ก็จะได้พบกับตัวเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้กันมาอย่างครบครัน พอเหมาะกับการทำความสะอาดในบ้านได้แบบครบวงจร
เราคงไม่ต้องสาธยายแบบลงรายละเอียดว่าแต่ละชิ้นทำงานอย่างไร ขอข้ามไปยังเรื่องของงานดีไซน์และการออกแบบเอาแบบที่ตาตัวเองเห็น อย่างแรกเลยลักษณะโดยรวมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่อง ถังเก็บฝุ่น และชุดกระบอกดูดต่างๆ ที่ให้มาเป็นเซ็ต รวมถึงการวางตำแหน่งของไกกด และปุ่มเปิดถังเก็บฝุ่นด้านหน้านั้น ดูแล้วยังมองไม่เห็นความต่างจากรุ่น V10 ซักเท่าใดนัก
ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเพราะรุ่นและซีรีย์มันใกล้กันเกินไป การสร้างความต่างให้เห็นแบบที่มองปั๊บก็สังเกตได้จึงยังไม่เกิดขึ้น แต่เอาเถอะ แค่รูปแบบของตัวเครื่องที่เป็นอยู่ทั้งตัวเครื่องทรงถ้วยพลาสติกใสสีม่วงมัวๆ มีการจัดวางหน้าจอ LCD ไว้ด้านหลัง ที่ด้านลำตัวเครื่องมีการขึ้นรูปทรงนูนวางตัวยาวไปโดยรอบ ให้เราพอรู้ว่านี่คือพัดลมดูดระบบไซโคลน
บวกกับก้านดูดเคลือบสีน้ำเงินประกายฟ้า สัมผัสด้านๆ คล้ายกระบอกอลูมิเนียมที่ล้ำสมัย แค่นี้ก็ต้องบอกว่า มันดูโดดเด่น งดงาม ล้ำสมัย ฉีกและแตกต่างจากเครื่องดูดฝุ่นไร้สายแบบเดิมๆ ที่คุณเคยเห็นแล้วล่ะ
เรียกว่าถ้าเอาไปตั้งไว้ในบ้านก็ดูสวยงามราวกับของแต่งบ้านที่บ่งบอกรสนิยม และความเป็นตัวตนอันทันสมัยของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่าง นี่คือแต้มต่อของแบรนด์ Dyson ที่เขาสั่งสมความเชี่ยวชาญด้านนี้มาอย่างเชี่ยวชาญ
ประสิทธิภาพการทำงานที่เปลี่ยนไป
แม้ว่ารูปแบบงานดีไซน์จะไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ได้รับการอัพเกรดมาจากรุ่นที่แล้วก็คือ ประสิทธิภาพการทำงาน และความอัจฉริยะรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยให้การดูดฝุ่นมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น
เอาจากข้อมูลที่ได้มา ในส่วนของตัวเครื่อง Dyson V11 Absolute เครื่องนี้ สร้างพลังดูดมหาศาลจากดิจิตอลมอเตอร์นวัตกรรมของ Dyson โดยเฉพาะ เขาเคลมว่ามอเตอร์ตัวนี้สามารถสร้างแรงหมุนได้ถึง125,000 รอบต่อนาที ทั้งในตัวเครื่องด้านในยังมีการออกแบบการไหลเวียนของลมขึ้นมาใหม่ถึง 3 จุดหลัก
กล่าวคือตัวกระจาย 2 จุดแรก จะคอยจัดระเบียบของการเดินทางของลมให้เป็นระบบ เพื่อลดความปั่นป่วนของกระแสลมทั้งในช่วงขาเข้าและออก ตรงนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดให้ทรงพลังมากขึ้นกว่ารุ่น V 10 ถึง 20% ส่วนตัวกระจายอีกหนึ่งจุดที่เหลือจะทำหน้าที่ในการปรับปรุงเสียงของการดูดให้เบาลงไม่รบกวนโสตประสาทของผู้อยู่อาศัย
นอกจากตัวมอเตอร์และการกระจายลมแล้ว อีกหนึ่งประสิทธิภาพที่ถูกอัพเกรดขึ้นมาก็คือระบบท่อไซโคลนที่ถูกฝังไว้ข้างตัวเครื่องจำนวน 14 ลูกสูบ ทั้งหมดจะคอยทำหน้าที่สร้างลมเหวี่ยงฝุ่นออกจากกระแสอากาศ ซึ่งแรงเหวี่ยงมีพลังมากกว่า 79,000 g
ซึ่งแรงเหวี่ยงระดับนี้สามารถดักจับอนุภาคขนาดที่เล็กพิเศษในแบบที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ เช่น เกสร และแบคทีเรียเข้าไปในถังเก็บฝุ่นได้อย่างหมดจด แล้วหากรวมเข้ากับชั้นอากาศแบบ HEPA Filter ที่ติดตั้งมาในตัวเครื่องด้วยแล้ว ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทาง Dyson ถึงกล้าเคลมว่าเครื่องดูดฝุ่นรุ่นนี้สามารถจับอนุภาคขนาดเล็ก 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97% นั่นเอง
ความอัจฉริยะที่เพิ่มขึ้น
ในยุคนี้แค่ประสิทธิภาพการทำงานเชิงกลไกและทางกลศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในเวลาที่เปลี่ยนรุ่นของอุปกรณ์ไฟฟ้านั้น ดูจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้งานอีกแล้ว เพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือกลไกสมองสั่งงานอัจฉริยะเพื่อเพิ่มความชาญฉลาดในการสั่งการ หรือการทำงานในฟังก์ชั่นต่างๆ ให้ได้ตามใจของผู้ใช้
ในเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ Dyson ไม่ได้ละเลย แถมยังใส่เทคโนโลยีอัจฉริยะมาใส่ไว้ใน Dyson V11 Absolute แบบเต็มที่ เริ่มต้นที่การเพิ่มหน้าจอ LCD ไว้ที่ท้ายตัวเครื่อง ซึ่งหน้าจอที่ว่านี้สามารถข้อมูลได้อย่างหลากหลายทั้งภาษาที่เลือกใช้ ระดับคงเหลือของแบตเตอรี่ โหมดที่ใช้ในการดูด การตรวจตราสภาพความสมบูรณ์ของฟิลเตอร์ ว่าเหลือระยะอีกเท่าไหร่ที่ต้องเปลี่ยน รวมถึงแจ้งเตือนหากปิดฝาฟิลเตอรไม่สนิท แบบที่ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งสังเกตเอาเอง
ความอัจฉริยะยังไม่จบเพียงเท่านี้ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าพูดถึงมากขึ้นก็คือหัวหมุนดูดทำความสะอาดแรงหมุนสูง(High Torque) ที่ถือได้ว่าเป็นพระเอกของรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะทำความสะอาดได้อย่างหลากหลายสะอาดหมดจด หัวหมุนที่ว่านี้ยังได้มีการฝังชิปอัจฉริยะระบบ Dynamic Load Sensor (DLS)เข้าไปทำหน้าที่เป็นสมองกล
ทำให้หัวดูดรับรู้แรงต้านที่หัวแปรงดูด 360 ครั้งต่อวินาที เพื่อปรับความเร็วมอเตอร์โดยอัตโนมัติเมื่อทำงานบนพื้นพรมสลับกับพื้นแข็งได้อย่างกับมีตามองเห็น ทั้งยังทำการปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสมตามสภาพพื้นผิวที่เปลี่ยนไปได้ด้วยตัวเองด้วย
โหมดการทำงานของตัวเครื่อง
โหมดการทำงานของ Dyson V11 Absolute ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งในแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันไปตามรูปแบบ เราจะลองจำแนกให้เห็นภาพชัดๆ
โหมดอัตโนมัติ (Auto Mode) “รับรู้ ปรับเปลี่ยน ทำความสะอาดล้ำลึก” เหมาะสำหรับการทำความสะอาดทั่วไปที่ใช้เวลาไม่นานมาก สามารถจับสัมผัสพื้นผิวที่กำลังทำความสะอาดอยู่ได้อย่างอัจฉริยะ พร้อมการปรับเปลี่ยนพลังงานและเวลาที่เครื่องดูดฝุ่นต้องใช้ได้อย่างสมดุลและเหมาะสม ช่วยให้คุณทำความสะอาดทุกพื้นผิวในบ้านได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
โหมดประหยัดพลังงาน (Eco Mode) “ใช้งานได้สูงสุด 60 นาที” เหมาะสำหรับการทำความสะอาดที่ยาวนานบนพื้นทุกประเภท ให้คุณทำความสะอาดได้อย่างไม่มีสะดุดและไร้กังวล
โหมดแรงพิเศษ (Boost Mode) “กำจัดฝุ่นอย่างทรงพลัง” โหมดนี้เหมาะสำหรับการดักจับฝุ่นในพื้นที่ที่มีฝุ่นหนาพิเศษ ด้วยกำลังการดูดฝุ่นอันทรงพลังของโหมดแรงพิเศษ จะช่วยให้คุณทำความสะอาดบริเวณที่มีฝุ่นหนาหรือฝุ่นเกาะติดแน่นได้อย่างง่ายดายและไม่เปลืองแรง
ก็แล้วแต่จะเลือกโหมดให้เหมาะสมกับการทำความสะอาด แต่ถ้าไม่อยากคิดอะไรเลย ก็ลองให้สมองกลอัจฉริยะแทนคุณบ้างก็ดีนะ
ขั้นตอนการลองใช้ และสรุปรวม
มาถึงพิธีกรรมสุดท้าย หลังจากเล่ากันมายาวเหยียดถึงคุณสมบัติต่างๆ ของ Dyson V11 Absolute นั่นคือการทดลองใช้แบบผู้ใช้จริง และการสรุปรวมบรรจุหีบห่อเพื่อฟันธงว่าควรใช้หรือไม่อย่างไร
เริ่มต้นที่การใช้งานกันก่อน ก่อนจะลงมือทดสอบผมตั้งใจชาร์จให้แบตเตอรี่เต็มก่อนเพื่อให้การทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด เราใช้เวลานั่งรอประมาณ 3-4 ชั่วโมง จนแบตเต็มได้ที่ ก็ถึงเวลาลองใช้
อย่างแรกที่ประทับใจเมื่อถือขึ้นมาก็คือน้ำตัวเครื่องที่กำลังพอดีๆ ไม่หนัก และไม่เบาจนเกินไป เท่าที่ดูข้อมูลจะอยู่ที่ 2.95 กิโลกรัม เรียกว่าสามารถถือทำความสะอาดได้แบบไม่เมื่อย ไม่หนักร่างกาย ทำให้สามารถทำความสะอาดได้นานแบบสบายๆ ไม่ว่าผู้ใช้จะเป็นผู้ชายหรือหญิง
ต่อมาเป็นการทดลองใช้ดูดฝุ่น เราเริ่มใช้มาจากหัวหมุนดูดทำความสะอาดแรงหมุนสูง(High Torque) ก่อน ลองดูดทั้งพรม ทั้งพื้นแข็ง รวมถึงพื้นปูนด้านนอกที่มีฝุ่นหนา โดยปรับเป็น Auto Mode(ใช้งานได้ประมาณ 45 นาที) แล้วลองกลิ้งไปตามพื้นผิวที่เปลี่ยนไป
เพียงนำเอาหัวดูดเคลื่อนไปตามพิ้นผิว พลันเครื่องก็จะปรับโหมดการดูดให้ทันที โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลารอแม้แต่นิดเดียว ซึ่งข้อดีของการใช้โหมดนี้ สมองกลอัจฉริยะคิดคำนวณมาแล้วให้จำนวนแบตที่มีมีอยู่สอดคล้องกับระยะเวลาในการใช้งานต่อเนื่องหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เราสามารถดูดได้ทั่วบ้าน
ทีนี้ลองเปลี่ยนมาใช้โหมดต่างที่มีอยู่ด้วยตัวเอง ก็พบว่าโหมดแรงพิเศษ (Boost Mode) นี่สามารถกำจัดฝุ่นหนา รวมถึงเศษซากชยะต่างๆบนพื้นพรมได้อย่างหมดจดจริง ราวกับว่าไม่เคยมีฝุ่นผงเหล่านั้นร่วงหล่นบนพื้นมาก่อน รวมถึงการที่ได้ลองเปลี่ยนหัวทรงแบนเพื่อดูดไปยังซอกต่างๆ ที่เข้าถึงยากทั้งซอกโซฟา ซอกระหว่างกระเบื้อง และซอกรางประตูเลื่อน ก็พบว่าสามารถดึงฝุ่นออกมาได้เกือบ 100% แต่การใช้งานเต็มสตรีมแบบนี้ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้เพียงไม่เกิน 20 นาทีตามที่หน้าจอแสดงเตือน
คราวนี้ลองสลับมาทำงานแบบ Eco Mode ดูบ้าง แค่เปลี่ยนโหมด ระยะเวลาการทำงานของตัวเครื่องก็เพิ่มขึ้นเป็น 60 นาทีทันที คือแรงดูดอาจจะน้อยลงไปบ้าง แต่ก็สามารถทำงานได้อย่างสบายๆ ในแบบที่ไม่ต้องดูดอะไรหนักหน่วงมากนัก โหมดนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งกับการทำความสะอาดบ้านที่มีพื้นที่ใหญ่ๆ ที่ต้องใช้เวลาในการดูดเพิ่มขึ้น
ลองใช้มาทั้ง 3 ก็บอกเลยว่าประทับใจในประสิทธิภาพโดยรวม เพราะความอัจฉริยะของเครื่องดูดฝุ่น ทำให้คุณไม่ต้องใช้ความพยายาม และใช้แรงกายไปกับการทำความสะอาดบ้านอย่างที่เคยเป็น
แต่สำหรับเราแล้วกับสิ่งได้เล่าไป รวมกับภาพลักษณ์ความเป็นแบรนดเครื่องไฟฟ้าระดับท๊อปของ Dyson ก็มองว่าคุ้มค่าหากคุณมีเงินเหลือจะจ่าย เพราะทั้งรูปแบบงานดีไซน์ที่เป็นเอกของแบรนด์ บวกกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ผ่านการวิจัยมาอย่างดี เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนด้วยปัญญาประดิษฐ์(Ai) มันดูจะไม่แพงเกินไปที่เราจะนำเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นนี้มาใช้เป็นส่วนหนึ่งภายในบ้าน ก็ดูเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีนะครับ