DREAMS COME TRUE
‘บ้านไร่ ไออรุณ’
บ้านไร่ในฝันที่กลายเป็นความจริงของ วิโรจน์ ฉิมมี
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสามปีก่อนหน้านี้ วีรกรรมของคุณเบส-วิโรจน์ ฉิมมี ได้รับการกล่าวขวัญเป็นอย่างมากในฐานะผู้กล้าที่มีทั้งความบ้าบิ่นและความฝันอันเปี่ยมล้น ตลอดจนเป็นกรณีศึกษาที่สร้างแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครที่มีฝันเหมือนกับเขาอีกมากมาย อย่างที่หลายคนได้ทราบมาก่อนว่าสถาปนิกหนุ่มในวัย 30 ต้นๆ ตัดสินใจยุติบทบาทสถาปนิกและชีวิตการเป็นพนักงานประจำในเมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์ ยื่นซองขาวลาออกกับเจ้านายเพื่อกลับมาสานฝันที่ตัวเองเคยวาดเอาไว้ก่อนร่ำเรียน ที่บ้านเกิดในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง
ภายหลังจากหนีกรุงมุ่งสู่ไร่ สิ่งที่สถาปนิกซึ่งผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรในคราบนักสร้างสรรค์ เริ่มต้นทำตามความฝันของตัวเองเป็นขั้นแรก คือการเอาความรู้ทางวิชาชีพสถาปัตย์ที่มีติดตัวมาใช้ปรับปรุงบ้านพักอาศัยหลังเดิมของพ่อและแม่ที่ค่อนข้างทรุดโทรม ให้กลับมาสวยเหมือนใหม่ด้วยวัสดุพื้นถิ่นอย่างไม้ไผ่ที่เป็นองค์ประกอบหลัก อีกทั้งยังลงมือช่วยครอบครัวทำไร่ปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษไว้กินเองบ้างแบ่งขายบ้าง พร้อมใช้ช่วงเวลาว่างในแต่ละวันสร้างเสริมเติมแต่งพื้นที่ในสวนจำนวนกว่า 20 ไร่ จนเกิดเป็นฟาร์มสเตย์ที่ใครก็รู้จักกันดีในชื่อ ‘บ้านไร่ ไออรุณ’ บ้านไร่ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยป่าเขาเขียวชอุ่มที่ทั้งอบอุ่นและมีวิถีชีวิตแบบพอเพียงตามแนวคิดของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้อย่างน่าชื่นชม
จากวันแรก ใครจะเชื่อว่าหลายสิ่งที่คุณเบสเพียรพยายามมาตลอดจะสัมฤทธิผลเกินความคาดหมายในวันนี้ สองปีให้หลังจากการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความฝันลงบนดิน ฝันที่คอยรดน้ำพรวนดินก็ค่อยๆ งอกงามขึ้นตามกาลเวลา จากเมล็ดขึ้นเป็นต้นเกล้าเติบใหญ่จนหยั่งรากแข็งแรง จากบ้านหลังแรกที่ใช้สำหรับพักอาศัยในครอบครัว ต่อยอดเป็นบ้านพักหลังน้อยสำหรับแขกเหรื่อผู้มาเยือนหลังที่หนึ่ง หลังที่สอง หลังที่สาม หลังที่สี่ เรื่อยมาจนปัจจุบันที่ขึ้นมาแตะหลักเจ็ดและยังคงไม่หยุดแค่นี้ หรืออาจกล่าวได้ว่า บ้านไร่ ไออรุณ แทบไม่เคยว่างเว้นผู้มาเยือนจากทั่วทุกสารทิศแม้สักวันก็ไม่ผิดนัก
โดยปัจจุบันยอดจองล่วงหน้าบ้านพักเชิงเกษตรทั้งหมด 7 หลัง ยังคงมีคิวเข้าแถวรอต่อเนื่องยาวเหยียดเป็นแรมเดือน ก็อย่างที่กล่าวไปว่าแผนงานของคุณเบสยังไม่ได้หยุดแค่นั้น เขายังคงมุ่งมั่นปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดความฝันให้เติบโตขึ้นไปอีกทีละก้าว ดั่งคำบอกเล่าในบทสนทนาระหว่างเราที่มีขึ้นในบ้านพักหลังใหม่ในชื่อ ‘ม่านหมอก’ ตอนหนึ่งที่ว่า“พอเพียงไม่ใช่การหยุดพัฒนา เราอยากสร้างสรรค์มันต่อ เราอยากพัฒนาให้ที่นี่ร่วมสมัย ตอบโจทย์กลุ่มไลฟ์สไตล์ ปรับความพอเพียงเข้ากับยุคปัจจุบันด้วย”
ห้องน้ำใหม่สวยอย่างเป็นธรรมชาติด้วยแนวคิดที่ยึดมั่นและการใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ
จากภาพล่าสุดที่ Daybeds ได้เห็นในการมาเยี่ยมชมที่พักเชิงเกษตรแห่งอำเภอกะเปอร์ คือส่วนล็อบบี้และบ้านพักหลังที่ 7 ซึ่งเป็นอาคารใหม่สองหลังล่าสุดที่คุณเบสออกแบบขึ้น มีการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย โดยในการก่อสร้างครั้งนี้ คุณเบสได้ปรึกษาทีม Creative designer จาก COTTO STUDIO ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จาก COTTO ที่เขาเชื่อมั่นในคุณภาพและดีไซน์ที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี มาใช้ในการตกแต่งห้องน้ำในส่วนล็อบบี้ และห้องน้ำในส่วนบ้านพักหลังที่ 7 หรือ บ้านม่านหมอก ซึ่งเป็นพื้นที่ของความสุขให้ออกมาสวยในแบบที่เป็นตัวเอง
สำหรับการออกแบบห้องน้ำใหม่ทั้งสองพื้นที่ในบ้านไร่ ไออรุณ ครั้งนี้ คุณเบสเน้นการคุมโทนด้วยเฉดสีขาวจากสีทาผนัง สีแดงจากกำแพงอิฐมอญ และสีน้ำตาลจากไม้ วัสดุที่ใช้เป็นองค์ประกอบหลัก โดยยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปต์ DIY ด้วยการหยิบยืมวัสดุที่หาได้ง่ายจากท้องถิ่นอย่างไม้ไผ่ อิฐมอญ และท่อนไม้ นำมาผสานเข้ากับกระเบื้องลายไม้ สุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และอ่างล้างหน้าที่มีรูปฟอร์มโมเดิร์นจากแบรนด์ COTTO จนได้ออกมาเป็นห้องน้ำที่มีความร่วมสมัยและเป็นธรรมชาติตามความตั้งใจของตัวเองในที่สุด
“ผมตั้งใจให้ที่นี่มีความร่วมสมัย มีการนำวัสดุท้องถิ่นมาใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย เพราะเรามีกรอบของเราอยู่แล้วในเรื่องขนาดความกว้าง ความยาว (ของห้องน้ำ) เราจึงยังคงคอนเซ็ปต์เดิมไว้ คือการนำวัสดุท้องถิ่นมาใช้ นั่นคือไม้ไผ่ เป็นงานทำมือตามคอนเซ็ปต์ DIY นำสุขภัณฑ์สีขาวซึ่งตัดกับสีไม้เข้ามาเพิ่มความโมเดิร์นขึ้น แต่มันก็ยังอยู่ด้วยกันได้กับธรรมชาติ กับสิ่งที่เราเคยทำ วัสดุท้องถิ่น กับสุขภัณฑ์ร่วมสมัย มีความแตกต่างแต่ลงตัว” สถาปนิกหนุ่มอธิบาย
“เรายังคงคอนเซ็ปต์เดิมไว้ คือการนำวัสดุท้องถิ่นมาใช้ นั่นคือไม้ไผ่ เป็นงานทำมือตามคอนเซ็ปต์ DIY
นำสุขภัณฑ์สีขาวซึ่งตัดกับสีไม้เข้ามาเพิ่มความโมเดิร์นขึ้น แต่มันก็ยังอยู่ด้วยกันได้กับธรรมชาติ”
บ้านในฝันที่เราอยากให้มันดูถ่อมตนกว่าธรรมชาติ
ที่บ้านไร่ ไออรุณ สถาปัตยกรรมที่คุณเบสออกแบบและก่อสร้างขึ้นมาทั้งหมด เขาบอกเพียงว่าตั้งใจหลอมรวมทุกสิ่งเป็นเนื้อเดียวกับธรรมชาติ บ้านทุกหลังมีความถ่อมตนแล้วให้ธรรมชาติเป็นใหญ่ เราจึงพบกับความสงบเงียบ ร่มรื่น ร่มเย็น ได้จากทุกทิศทางไม่ว่าจะหันหน้าไปทางมุมไหน บรรยากาศโดยรวมของบ้านไร่ในฝันที่กลายเป็นจริงแห่งนี้ สามารถฉุดความร้อนรุ่มในใจที่ใครก็ตามนำติดตัวมาจากที่อื่นให้ต่ำลงเรี่ยดิน มลายไปกับดิน แล้วถูกแทนที่ด้วยความเพลิดเพลิน รื่นรมย์ชมชอบไปกับสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้า ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงลมพัด เสียงใบไม้ ได้สัมผัสแสงอรุณงามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทักทาย ได้เห็นไอแดดที่ลอดผ่านช่องว่างของป่าผืนน้อยที่อุดมสมบูรณ์ไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ และได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าที่เคยเป็น
“บ้านแต่ละหลังเราอยากให้บ้านมันกลืนไปกับธรรมชาติรอบๆ ด้วยขนาดและสัดส่วนเราอยากให้มันดูถ่อมตนกว่าธรรมชาติที่เรามี บ้านแต่ละหลังเลยมีลักษณะแตกต่างกันออกไป คอนเซ็ปต์ของเราคือเป็นบ้านที่เกิดจากความฝัน บ้านที่เราเคยคิดอยากจะมีในวัยเด็ก เช่น มีแปลงผักอยู่หน้าบ้าน มีลำธารผ่านบ้าน มีห้องใต้หลังคา มีบันไดให้ปีนป่าย มีห้องมองเห็นวิวภูเขารอบๆ มันเป็นความฝันของเรา แล้วเราก็เชื่อว่าบ้านที่เราสร้างจะดึงคนที่มีความฝันแล้วชอบอะไรเหมือนกันมาพักที่นี่” สถาปนิกหนุ่มเล่าเจตนารมณ์
วันแรกรู้สึกอยากให้มันเป็นอย่างไร วันนี้ก็ยังอยากให้มันเป็นแบบนั้น
จากผลตอบรับที่ดีมากๆ ของ บ้านไร่ ไออรุณ ทุกสิ่งทุกอย่างเปรียบเสมือนผลตอบแทนจากความตั้งใจในการลงมือลงแรงของคุณเบสและครอบครัวมาตลอดหลายปี “มันคือกำไรครับ” สถาปนิกย้ำ “เรารู้สึกว่าเราไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว ไม่ได้คาดหวังว่าเราทำบ้านพักแล้วจะมีคนมาพักเต็ม แต่เราคิดจากความน่าจะเป็นขึ้นว่า ก่อนที่เราจะสร้างบ้านหลังที่ 7 ขึ้น มันจะมีคนมาพักไหม นั่นคือยอดจองเข้ามาแล้วก็เงินที่โอนเข้ามาก่อน เราไม่ได้ตามกระแสหรือความรู้สึก มันเกิดขึ้นจริงๆ ว่ามันน่าจะมีคนมาพัก แล้วเรามีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้วว่าจะทำกี่หลัง วันหนึ่งจะมีคนมาพักกี่คน เราตั้งไว้ว่าวันหนึ่งจะไม่เกิน 20 คน บ้านพักเราจะไม่เกิน 9 หลัง เพื่อที่จะให้มันอยู่ในระบบครอบครัว แล้วก็ดูแลกันเองได้ เรามีคนมาพักวันหนึ่ง 20 คน เรามีคนของเราเอง 20 คน 40 คนที่เราต้องดูแลมันก็รู้สึกว่าเยอะแล้ว สำหรับ 1 วัน เรายังอยากให้คอนเซ็ปต์มันเป็นเหมือนเดิม ในวันแรกเรารู้สึกอยากให้มันเป็นอย่างไร วันนี้เราก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นอยู่”
“ผมอยากให้บ้านไร่เป็นเหมือนโชว์รูมของคนในชุมชนที่มาแสดงความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานสาน เรื่องโคมไฟ งานก่อสร้าง เรื่องอาหาร การทำการเกษตร และสินค้าการเกษตร เพราะว่าตอนนี้เรารู้สึกว่าเรามีโอกาสในการประชาสัมพันธ์ มีโอกาสนำเสนอสิ่งที่ชาวบ้านเหล่านี้มีความสามารถออกไปให้คนทั่วไปได้รู้จักกะเปอร์ ได้รู้จักสิ่งที่เขาทำได้ ได้รู้จักความสามารถของเขา แล้วก็เกิดรายได้ เกิดการต่อยอด เพราะต่อไปเราก็จะเอางานที่ชาวบ้านทำเองมาใช้ตรงนี้ แล้วก็อาจจะมีป้ายติดว่าเป็นแบรนด์ของใคร มีที่มาอย่างไร ทุกอย่างมีเรื่องราวหมด”
“เราไม่ได้อยากให้มันเป็นที่พักที่สวยงามแค่รูปภาพที่ถ่ายออกไป แต่เราอยากให้สวยงามออกมาจากข้างในเมื่อเข้ามาเห็น แล้วก็เข้ามาช่วยกันดูแลรักษา และเห็นถึงคุณค่าในสิ่งที่เราช่วยกันสร้าง เพราะเรื่องราวที่เราแบ่งปันออกไปมันก็ช่วยดึงคนที่ชอบลักษะเดียวกันมาหากันอยู่แล้ว เหมือนกับสร้างภูมิคุ้มกันให้กับแบรนด์ของเรา ให้กับบ้านไร่ของเรา ทุกอย่างที่เรานำมาใช้อยู่ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงหมดเลย ทั้งการรู้จักตนเอง การประมาณตน การสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ที่เหลือก็แบ่งปันให้คนอื่น เพื่อที่จะให้คนอื่นหันกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง”
“เบสไม่ได้อยากชวนทุกคนให้มาที่บ้านนี้ แต่อยากชวนให้ทุกคนกลับบ้านของตัวเองแล้วพัฒนาบ้านหลังนั้นให้มีความสุข มีรอยยิ้ม เหมือนที่เรากำลังทำอยู่ในตอนนี้ รวมถึงหลายๆ งานที่เบสทำอยู่ตอนนี้ก็เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงทั้งหมด เราก็รู้สึกว่าถ้าการกลับมาอยู่บ้านเกิด การกลับมาใช้ชีวิตแบบพอเพียงมันจะกลายมาเป็นเทรนด์ในยุคปัจจุบัน เราก็อยากให้มันเป็น เพราะมันจะทำให้ทุกคนมีความสุข แล้วก็พัฒนาสังคมหรือว่าชุมชนในแต่ละจังหวัด หรือแต่ละพื้นที่ให้ดีขึ้นได้”
สำหรับใครก็ตามที่กำลังตั้งคำถามและกำลังออกค้นหามันอยู่ว่า ความสุข ความฝัน และความจริง ทุกสิ่งจะหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียวกับธรรมชาติได้อย่างไร ‘บ้านไร่ ไออรุณ’ แห่งนี้คือคำตอบที่อาจไม่ได้สวยงามที่สุด ไม่ได้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่อาจจะเป็นคำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำที่สุด ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนที่เกิดประเด็นสงสัยเข้ามาสัมผัสและเข้าใจความหมายของคำตอบนั้นได้อย่างลึกซึ้งที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่พบได้ในปัจจุบัน
“ผมอยากให้บ้านไร่เป็นเหมือนโชว์รูมของคนในชุมชนที่มาแสดงความสามารถ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานสาน เรื่องโคมไฟ งานก่อสร้าง เรื่องอาหาร การทำการเกษตร
และสินค้าการเกษตร”
Text: นวภัทร ดัสดุลย์
Photo: ฉัตรชัย เจริญพุฒ