A NEW WAY OF LIFE

art3

งานศิลปะสะท้อนตัวตน
กวี ลักษณะสกุลชัย

TEXT: ภคพร ไม้สนธิ์
PHOTO: ฉัตรชัย เจริญพุฒ

คุณแมน กวี ลักษณะสกุลชัย อดีตสไตลิสต์ชื่อดังแห่งนิตยสารแพรวและงานบันเทิง ตอนนี้เขาก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะศิลปินวาดรูปพอร์ทเทรท และงานโคชชิ่ง แอคติ้ง โดยผลงานของเขาเพิ่งจะจัดแสดงไปที่เชียงใหม่ และก็ได้รับผลตอบรับที่ดีให้ชื่นใจ กับก้าวใหม่ที่เขาอยากทำมานานแล้วตั้งแต่จบมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

ศิลปินใหม่ท่านนี้ นัดเราให้ไปพูดคุยและชมงานศิลปะของเขา ณ แกลเลอรีที่เขาใหญ่ เป็นแกลเลอรีที่รายล้อมด้วยศิลปะซึ่งเขาวาดทุกๆ วัน ทั้งแกลเลอรีก็ล้อมรอบด้วยการจัดวางต้นไม้นานาชนิด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เขาชื่นชอบ และภายในแกลเลอรีก็มีมุมชาและกาแฟที่เขาเอาไว้รับรองเพื่อนฝูง และผู้ต้องการมาพูดคุยเรื่องศิลปะกับเขาอย่างเปิดกว้าง เอาล่ะ ชาพร้อมจิบ คุณแมนนั่งลงประจำที่ บทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้น นับจากบรรทัดนี้

Dbs : เป็นสไตลิสต์ที่แพรวนานมากนะคะ เป็นอาชีพที่อยู่กับความสวยงาม กับแฟชั่น ทำไมถึงตัดสินใจลาออก

กวี : ใครบอก คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า เป็นวงการที่มันมีอยู่คำหนึ่งว่า Nothing in the world วงการแฟชั่นมันไม่มีอะไรใหม่สำหรับพี่นะ จริงๆ ตอนที่สมัครเข้าไปที่แพรวพี่สมัครเป็น Iirustator คือเขียนภาพประกอบ แต่พี่สุ (สุภาวดี โกมารทัต) ก็บอกว่าแมนอย่าเลย ดูพอร์ตพี่แล้วก็บอกว่าแมนทำแฟชั่นเถอะเพราะงานเพ้นท์ของพี่ตอนที่เรียนศิลปากรมันมีความเป็นแฟชั่น ซึ่งสมัยนั้นภาพ Iirustation มันจะเป็นแนวอาร์ต เป็น Abstract ที่มันเป็นแฟชั่นผู้หญิงบิดตัวไปมา เขาบอกว่าแพรวไม่ค่อยรับแนวนี้ ก็เลยส่งพี่ไปหาพี่แตง-ชัยวัฒน์ มุ่งถิ่น พี่ก็ทำงานมาได้เป็นสไตลิสต์เลยทำมา 20 ปี

พอเข้าปีที่สัก 15 เริ่มมีคำถามกับตัวเอง พี่หนีจากตัวตนไม่ออก คือพอมีหนังสือหัวนอกมาคือ Elle มาก่อน พอ Bazaar, Vogue มา ทำให้เหมือนกับว่าคู่แข่งเรามากขึ้น แล้วเขาบอกให้พี่เปลี่ยนสไตล์จากที่เคยสวยใสดูโก้หรู ปรากฏว่าเราต้องเพิ่ม Input เพิ่มความเซ็กซี่ ความเปรี้ยวเข้าไป แต่ทีนี้เราทำเนี่ยตัวตนเราชัดเจนเกินไป โก้ หรู นิ่ง เป็นแพรวมา 15 ปีพอเราจะ Input ความเซ็กซี่เราใส่ไม่เป็น ต้องอาศัยความดุเดือดของช่างภาพ เช่น ให้จอร์ซ-ธาดา วาริช มาช่วย ให้พี่ใหญ่-อมาตย์ (อมาตย์ นิมิตภาคย์ ช่างภาพอิสระ) มาช่วย แต่ตัวตนของเราๆ ไม่เซ็กซี่เลย จะเอาโก้อย่างเดียว จะเอาสวยตระการอย่างเดียว มันก็แก้ปัญหาได้เป็นงานๆ ไป หรือว่าต้องการงานเปรี้ยวก็ต้องอาศัยช่างภาพเปรี้ยวๆ อย่างพี่ติ๋ม-พันธ์ศิริ (พันธ์สิริ สิริเวชชะพันธ์ ช่างภาพแฟชั่น) ซึ่งโอเคการทำงานมันต้องแชร์กันอยู่แล้วล่ะ แต่เราทำได้หรือเปล่าสิ่งที่เขาต้องการ ณ วันนี้ที่แพรวต้องการ ทำไมเราทำไม่ได้ ถ้ามาจากตัวตนเราล้วนๆ เราไปไม่ถูก เราต้องอาศัยพลังจากคนนู้นคนนี้มา เช่นช่างภาพหรืออะไรที่บอกไว้หรือตัวนางแบบเซ็กซี่ โอเคมันอาจจะเป็นวิธีการทำงานของคนอื่นด้วยแหละ แต่พี่ก็เกิดคำถามมาตลอด เพราะเมื่อก่อนมันออกไปจากตัวเราๆ ไม่ต้องไปดึงคนนู้นคนนี้มาช่วย ช่างภาพคนไหนมาหาเราก็ทำงานได้ แต่ที่นี้เราต้องไปอาศัยมุมมองของเขา เพื่อจะได้ให้งานตามที่อยากได้มันก็เลยเกิดคำถามรายรอบ

เข้า 5 ปีหลัง เราเกิดคำถามเกือบตลอดเวลา ถ้าเราทำงานโก้ๆ เราจะไม่กังวลเลย แต่พอมีบรีพมาว่างานนี้ชั้นต้องการเซ็กซี่นะ หรืองานนี้ขอเปรี้ยวสุดกำลัง จะมี Question ในหัวมันไม่มีภาพ ก็เลยมี Question ว่าเรายังเหมาะกับงานตรงนี้หรือเปล่าอีกต่อไปไหม แต่ในขณะที่ทำงานมาเนี่ยพี่มีงานโฆษณาเข้ามาโดยตลอดเลยนะ ด้วยความที่เราทำแล้วให้คนสวยแบบสัมผัสได้ สะอาด สะอ้าน โก้ หรู ปรากฏว่างานโฆษณากระหน่ำเข้ามา จนไม่มีเวลาเข้าแพรวล่ะบอกตรงๆ มันก็เลยเกิด 2 ทางคือ ทำแพรว วาดรูป และโฆษณา ปรากฏว่าโฆษณา Income แบบพี่ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เลย ก็พิจารณาตัวเองแล้วว่าตัวเราอาจจะไม่เหมาะ กับสิ่งที่เขาอยากได้ตรงนี้แล้วที่ทางหนังสือที่ทางนายต้องการแล้ว ตัวเราอาจจะเป็นได้แค่ส่วนหนึ่งที่เขาอยากได้บางปก แต่ไม่ใช่ปกทั้งหมดที่เราจะทำให้เขาพลิกแพลงนู่นนี่นั่นมีความหวือหวา เพราะเราเป็นคนไม่หวือ บอกตรงๆ แค่กดไหล่นางแบบเห็นร่องนมนี่ก็เครียดแล้วนะ จริงๆสำหรับพี่นะ ฉะนั้นการไปเปิดนู่นเปิดนี่ถอดเสื้อคนนั้นคนนี้พี่ทำไม่ได้ แต่ความต้องการทุกวันนี้คือมันต้องแข่งขันสูงมาก โดยเฉพาะคนที่แบบเอามาไม่ได้ต้องเอามาให้ได้อย่างนี้ คนที่ไม่ถ่ายกันแน่ๆ เขาไม่ยอมแน่ๆ แต่เราต้องเอามาให้ได้อย่างนี้พี่จะไม่มีความตื่นเต้นที่อยากทำตรงนั้นเลย

เมื่อก่อนเหรอนะๆ ถ่ายเถอะ เดี๋ยวนี้แบบเขาไม่ถ่ายล่ะ พี่ๆ โทรมาแล้วนะหนูไม่ถ่ายใช่ไหม โอเค แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเซ้าซี้ตามบุกทะลุทะลวงถึงกองถ่ายนั่งรอเป็นวันๆ แต่พอโตขึ้นมันมีคำถามว่า ทำไมเราต้องมาวะ นึกออกไหมเขาไม่ถ่ายทำไมต้องตามเซ้าซี้เขาว่ะ มันเกิดคำถามนี้ขึ้นเราจึงพิจารณาตัวเอง สุดท้ายก็บอกว่าโอเคขอลาออกเพราะว่ามีอย่างอื่นอยากทำอีกมากมาย คือในขณะนั้นพี่ก็แอบฝึกฝีมือไปด้วยนะเขียนได้เขียนไม่ได้ วันหนึ่งได้วาดรูปแค่ตาก็เอา กลับจากที่ทำงาน กินข้าวเสร็จสีที่แช่ตู้เย็นไว้ดึงออกมา จิ้มตาได้ข้างหนึ่งขนตาปัดๆ โอ๊ย! หมดแรงพรุ่งนี้ต้องทำงานต่อเก็บเข้าตู้เย็นแค่นี้ก็ทำ

arttist ใหม่1Dbs : ตอนเป็นสไตลิสต์นั้นใช้พลังงานเยอะไหม

กวี : เยอะมากครับ ชนิดที่พี่เคยเจอเหตุการณ์นี้ เมื่อก่อนคือจะมีสไตลิสต์คือพี่แตง พี่เจี้ยบ-เอกกมล ตัวพี่ และพี่เบิ้ม-ธีระ ต่ายทอง สไตลิสต์ 4 คน คนทำแฟชั่นมี 4 คน แต่วันหนึ่ง 3 คนลาออกทั้งหมดงานอยู่ที่พี่คนเดียว พี่คิดไม่ออก พี่เคยเจอเหตุการณ์นั้นปีกว่า พี่คนเดียว พี่เข้าโรงพยาบาลปุ๊บให้น้ำเกลือตี 4 ดึงออกไปทำงาน ทำงานเสร็จกลับมาให้หมอเสียบรู พี่มีคำถามกับตัวว่า For What? หลังจากนั้นพี่ก็พูดกับเขาตรงๆ เลยว่าถ้าอยากให้กูตายก็ให้กูทำงานแบบนี้ต่อไป มันไม่ใช่อ่ะ จาก 4 คน 4 ไอเดีย 4 การเตรียมงาน รวบมาเหลือ 1 คน ไม่คิดจะจ้างคนเพิ่มเลยรึ ระบบนี้ไม่ใช่คิดทันก็เตรียมไม่ทัน ถึงเตรียมทันวันถ่ายก็อาจจะหลงลืมๆ ไม่เพอร์เฟค

เมื่อก่อนนี้ทำงานเราแบ่งกันนะแข่งแขกันมีเวลาเตรียมงานของตัวเอง ทีนี้เตรียมงานให้ดีที่สุดกับเตรียมให้รอดไม่เหมือนกัน ช่วงนั้นที่พี่โดน 1 คน 1 ปีอ่ะเอาแค่รอดคิดอะไรไม่ออกบอกสตูดิโอเลยฉากขาว เทา ดำ แสงข้างแสงหน้าแสงนู่นนี่นั่นเปลี่ยนแสงเปลี่ยนฉาก เพราะฉะนั้นงานมันก็รีพรีต งานมันก็ทำงานมามันก็ต้องรู้ตัวนะ ชีวิตเริ่มบัดซบแล้วตอนนี้ก็เลยบอกขอต่อรองกับเขา ปรากฏว่าพี่ปูสุเมธป๋าของเรานี่แหละ มีความสนใจอยากทำแฟชั่นเอง ก็เลยบอกว่าพี่ปูแบ่งไปพี่ปูอยากใช้สไตลิสต์ใครเชิญ แบ่งกันทำ ปรากฏว่าหนังสือมันก็กระเตื้องขึ้นเกิดจาก 2 ทีมช่วยกันทำ พี่ก็ใช้ช่างภาพนอก พี่ปูก็ใช้สไตลิสต์นอก ทำให้หนังสือมันวุบวับๆ เขาก็เห็นถ้าเราไม่พูดเขาก็ไม่แก้ ตอนหลังพี่ก็ถ่ายทอดๆ ให้พี่ปูอย่างเดียว จนสุดท้ายแล้วก็ในเมื่องานนอกเราอาทิตย์หนึ่งล้นกระบาล แล้วเข้าแพรวนัดประชุมแล้วนัดประชุมอีกเข้าไม่ได้ติดจ็อบๆ คำว่าติดจ็อบของพี่นี่เจ้านายฟังจนเบื่อ คือเราทำให้แพรวได้ไม่เต็มที่เราก็พิจารณาตนก็ออกเลย เสนอยื่นใบลาออกหลังจากวันหนึ่งที่ประชุมแล้ว รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่แล้วเขาเป็นนายเรา แต่เราบอกอื้องานนี้น่ะพี่โยนให้ช่างภาพนอกได้ไหม มันคือคำพูดจริงๆ เลยจากเรา ณ วันนั้น หรือพอข้ามเล่มแมนติดต่อคนนี้สิ อื้อเขาไม่ถ่าย ความที่อยากทำงานมันไม่มีแล้วไง ก็เหมือนกับยกภูเขาออกจากอกอ่ะก็สบายใจกันทุกฝ่าย นั่นแหละด้วยความที่ลาออกปั๊บงานการก็กระหน่ำเข้ามา หนังสือต่างๆ ที่ไม่เคยเรียกก็เรียกมา หนังสือที่ลงเป็นนัดจ้า นาเดีย ชิฟเฟอร์ นามแฟงอะไรอย่างนี้ก็ลงกระหน่ำเป็นแมน-กวีไปเลย

แต่ปรากฏว่าพอเราทำหนังสือกับทำโฆษณาแล้ว ไม่มีงานแพรวเรามีเวลามากมาย แปลกไหมโฆษณากลับไม่เอาเวลาพี่ พี่ก็เลยมานั่งคิดอ้าวไม่มีประชุมแล้ว ไม่เห็นต้องทำแฟชั่นแล้วชั้นทำอะไรชั้นว่างนี่นา สร้างโปรเจคท์จนลูกน้องพวกนี้เขาเหนื่อยกันหมดแหละพวกที่เคยอยู่กันสบายๆ นี่แค่ขับรถให้พี่พาไปส่งสตูแล้วพากลับจากวันนั้นถึงวันนี้ไม่เคยได้หยุดเลย กลายเป็นว่าโปรเจคท์พี่รัน รันแบบนันสต๊อบต้องมาแบบ 1 2 3 หาคนมาช่วย 4 คนมากขึ้นเรื่อยๆ โปรเจคท์พี่ขยาย โปรเจคท์พี่คือแสดงเอ็กฮิบิชั่นซึ่งเราทำกรอบเองขึงเฟรมเอง คือพี่เป็นคนมีลูกน้องอยู่แล้วก็ให้มาทำได้ฝึกทุกอย่าง ขึงเฟรมมาทำเฟรมเอง ไปซื้อแคนวาส สั่งเลยว่าแคนวาสอย่างนี้ดีไม่ดีเริ่มต้น เพื่อให้เขารู้เลยว่าเริ่มต้นต่อไปชีวิตกูเปลี่ยนแล้วนะ กูจะเป็นอาทิตย์แล้วนะ ต้องไปเรียนรู้การซื้อสีนู่นนี่นั่น นั่งทำเองทุกอย่างตอกด้วยโปรเจคท์เริ่มมา ไปแสดงที่เชียงใหม่ขายได้สามแสนกว่าบาทครั้งแรกในชีวิต

Dbs : คือคิดว่าถ้าจะต้องทำวาดรูปเป็นศิลปินจะต้องมีเอ็กซิบิชั่นมีการจัดแสดง

กวี : ปรากฏว่าพอเปิดตัวกับเพื่อนว่าเรามีงานแล้ว เพื่อนๆ พี่ที่ศิลปากรพี่จบ Dec นะที่วาดรูปขายกันอยู่ ก็บอกเอาเลยแล้วที่ไหนละมึง แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งไปเป็นศิลปินใหญที่เชียงใหม่ เขามีแกลลอรี่ที่เชียงใหม่ ชื่อ Tita Gallery อยู่เชียงใหม่ซึ่งมีเดือนที่เขาว่างเดือนนี้ก็ว่างพอดียังไม่มีศิลปินมาลง แล้วเรามีเวลาไม่ถึงเดือนเราจะทำยังไง ก็วาดกระหน่ำออกมาเป็นชุดแล้วก็ใส่กรอบขนขึ้นเชียงใหม่ไปโชว์เลย พฤศจิกา-ธันวา ปีที่แล้ว งานแรกพี่ขายได้สามแสนกว่าพี่บอกโอเค ยืนอย่างนี้เลย (ลุกขึ้นยืนกอดอก แล้วหัวเราะเสียงดัง) ห้า ห้า ห้า คือคนที่ไม่เคยขายงานเลยในชีวิตแล้วครั้งแรกขายได้เลยอ่ะ เพื่อนบอกว่าถือว่า Success แล้วนะ พี่เลยบอกว่างั้นกูยึดอาชีพนี้แล้วนะ แต่สุดท้ายพอกูจะยึดอาชีพนี้โฆษณาก็โทรมาพี่แมนคะ เดี๋ยวจะถ่ายอั้ม-พัชราภา เดี๋ยวจะถ่ายเคน-ธีรเดช ก็ว่าชีวิตเราแบ่งแยกไม่ได้สุดท้ายก็ต้องวาดรูปไปทำโฆษณาไป

มีหนังสือต่างๆ ก็ยังโทรมา แต่บอกว่าขอโทษนะคะ คือการทำงานหนังสือพี่ต้องไปประชุมก่อนไปบรีฟ ส่ง Reference หาเสื้อผ้าอาจจะ 2 วัน วันถ่าย ถ่ายเสร็จคืนเสื้อผ้า รวมเป็น 6 วัน ใน 6 วันนี้เงินเท่ากับครึ่งหนึ่งของโฆษณา ทำนิตยสารพี่ไม่ได้ดูถูก แต่พี่มานั่งถามตัวเองว่าตอนนี้สิ่งที่เราต้องการคืออะไร อะไรคือสิ่งที่เรารัก แฟชั่นเราทำมา 20 ปีแล้ว ที่ออกจากแพรวเพราะอะไรก็เพราะเบื่อแฟชั่นถูกไหม โอเคงั้นหนังสือถ้าเป็นไปได้ถ้าเข้ามากระชั้นชิดมากพี่ปฎิเสธๆ เพราะว่าอยากเก็บเวลาเอาไว้ทำวาดรูป

Dbs : คนที่เข้ามาในวงการแฟชั่นมันต้องมี Passion อะไรบางอย่าง

กวี : ถูกต้องแต่ Passion เราหมดไปแล้วหมดไปเลย ถามว่าพี่ต้องไป Club21 แล้วต้องเลือกเสื้อให้พลอยเฌอมาลย์วันนี้ความตื่นเต้นมันไม่เหลือเลย เพราะว่าพี่จะไปเจอแบรนด์ต่างๆ ชุดนี้เหมาะกับพลอยเอาชุดนี้ก็ได้ เอ้าพลอยใส่ชุดนี้หน่อย มันหยิบมา 20 ปีแล้วมันเป็นรูทีน เข้าร้านจนเด็กมันหันหลังใส่แล้วอ่ะ ไม่ต้องดู ไม่ต้องตามพี่แมนมันก็ทำอย่างอื่นไป คือปกติถ้าเข้าไปร้านไหนที่เพิ่งรู้จักกันเราก็ต้องฟอลโล่ มันเหมือนกับทำอย่างนี้มา 20 ปี ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ตื่นเต้นกับเสื้อผ้าแล้วไม่ตื่นเต้นเลย เลยบอกทุกคนเลยว่าถ้าเป็นงานที่ต้องเตรียมเสื้อผ้าพี่แมนขอบาย ปรากฏว่าบอกไปอย่างนี้มันหายไปประมาณสักอาทิตย์หนึ่ง หลังจากนั้นงานมากระหน่ำอีก ไม่ต้องเตรียมเป็นแอคติ้งโค้ชอย่างเดียว ในแมกกาซีนและโฆษณา โฆษณาพี่ก็บอกคำเดียวกัน เพราะทุกอย่างขั้นตอนเหมือนถ่ายแฟชั่น แต่ค่าตัวสองถึงสามเท่าถ้าเป็นหนัง แต่พี่ก็ประกาศทั้งโฆษณาว่า No More เสื้อผ้า มันหายไปทำใจกันอยู่ประมาณอาทิตย์กว่าๆ ให้พี่ได้นอนเล่นเท่านั้นแหละ มันไปคุยกับลูกค้ายังไงไม่รู้ลูกค้ายอม พี่แมนมาแต่ตัวเลยค่ะเดี๋ยวหนูจะใช้เด็กคนนั้นคนนี้ทำชุด มึงจะเอากูอีกเหรอ โอเคก็ไปทำ ปรากฏว่าทุกวันนี้มีแอ็คติ้งโค้ชอย่างเดียว พี่ไม่ต้องหยิบจับเสื้อแล้วพอนอนในรถไปถึงแล้วถามว่าอยากได้อะไรบอกมาแล้วเราก็ไปสื่อสารกับตัวแบบแล้วก็เชียร์อัพ หรือให้เกิดภาพที่เขาต้องการได้เร็วที่สุด keep to the point เช่น 2 วันที่แล้วถ่ายมิ้นต์กับมีนโปรดักส์ชิ้นหนึ่ง เขาต้องการแบบหน้าตาที่มั่นใจสุดชีวิต ซึ่งเด็กๆ สองคนนี้เป็นเด็กสาวหวานสุดกำลัง ลูกค้าอยากพลิกคาแรกเตอร์ พี่ก็ต้องไปบิ้วด์นางยังไงก็ได้ให้นางกลายเป็นอีกคนหนึ่งให้ได้เดี๋ยวนี้ เลิกพูดได้แล้วว่าหนูสวยค่ะในใจไม่เอาแล้วต้องพูดว่าชั้นสวย นี่คือหน้าที่ๆพี่ต้องไปบิ้วเขา หาวิธีให้ได้ให้เขาคิดเปลี่ยนแอดติจูดเขา พอเขาเปลี่ยนความคิดปุ๊บช่ างภาพกดทันปั๊บ เด็กพวกนี้มันก็กลายเป็นเย่อหยิ่งจองหอง ลูกค้าบอกว่านี่แหละเอ้าจบปิดจ็อบ

พี่มีหน้าที่ไปยืนอยู่แล้วก็บิ้วแล้วก็อธิบายเหมือนแอคติ้งโค้ชหนังเหมือนกัน ปรากฏว่าทุกคนยอมจ่ายนะ มันก็เป็นอาชีพที่ดี ไม่ต้องเตรียมไม่ต้องส่งอะไรทั้งสิ้นในชีวิตนี้ มีหน้าที่สั่งด้วย ขอเลย์เอ้าท์ชั้นสิ ปรากฏว่ามีเก่งกว่าสไตลิสต์อีกแต่เหล่านี้คือประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา นั่นแหละกลายเป็นว่าพี่สบายแล้ว อาทิตย์หนึ่งพี่รับสัก 3-4 จ็อบ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วพี่รับ 7 จ็อบเลยทุกวัน 3 หมื่น 5 หมื่นอย่างนี้จริงๆ นะถ้าเป็นหนัง 5 หมื่น ภาพนิ่ง 3 หมื่น อย่างเมื่อวานนี้เลยพีช-พชร โปรดักส์น้ำดื่ม ถ่าย 30 รูปจบ เพราะว่าเขาทำได้ทันทีที่เราอธิบายเขา เหมือนไปสะกดเขาเลย แต่นั่นคือหมายความว่าเข้าไปเทคแคร์ ใช้ความสัมพันธ์ทั้งหมด เราเป็นคนจับอารมณ์ ซึ่งลูกค้าบางทีเนี่ยไม่รู้วิธีจะเข้าไปแทคแคร์ยังไงหรือทรีตกับดารายังไง หน้าที่ชั้น เธอบอกสิ่งที่เธอต้องการมา กระซิบมาข้างหู แล้วชั้นจะทำให้เธอเอง พี่ก็ทำมาตอนนี้เข้าปีที่ 2 ปีที่ 3 แล้วครับ ทำแอคติ้งโค้ชมาเรื่อยๆ นะ จากเล็กจากน้อยจนงานตรงนี้มันแน่นมันเหนียวแน่นแล้ว

พี่ออกจากแพรวเลย ออกจากแพรวมาไม่ถึงปี พี่ก็ออกมาเงียบๆ ของพี่ แล้วก็มาทำงานตรงนี้มีเพื่อนๆ สนับสนุน เพื่อนๆพี่เขียนรูปขายกันหลายคนแล้วก็ได้แสดงงานตามที่ต่างๆ รู้จักนิวเบรนสตูดิโอหรือเปล่าครับ ตอนนี้พี่แสดงงานแต่เป็นงานดรอว์อิ้งอยู่ที่นิวเบรน พี่ก็วาดภาพประกอบในหนังสือเขียนประจำเลยจากงานเอ็กซิบิชั่นที่นู่น

art4

Dbs : พี่วาดภาพประกอบซึ่งเมื่อตอนเด็กๆ อยากทำ

กวี : ใช่ เป็นความฝันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ก็ได้กลับมาทำแล้วก็มันก็เป็นความสุขที่เป็นตัวของตัวเอง แบบไม่เคยเป็นมาก่อน คือตอนที่พี่ทำงานในสายแฟชั่น จะมีพ่วงมาด้วยมันเหมือนเป็นมงกุฏ แต่ทุกวันนี้พอเราถอดมงกุฏน่ะเราจะไม่แคร์อะไรอีกเลย ชั้นอยากทำชั้นทำ แล้วก็มีอิสระมากๆ อันนี้พี่แฮปปี้มากๆ เลย ก็ต้องเข้าใจนะคนทำหนังสือรายปักษ์รายเดือน ซึ่งตอนแรกพี่กลัวกับการไม่มีสื่อไม่มีสังกัด พี่คิดจะลาออกตั้งแต่ครบ 15 ปี ก็ยื้อยั้งอยู่อย่างนี้ เลยทำอะไรไม่สุดสักทางเลยคราวนี้ วาดรูปก็ไม่ได้ ทำแพรวก็ไม่ดี โฆษณาเขาเข้ามาแล้วกำลังถ่ายๆอยู่ก็ต้องรับโทรศัพท์บก.เรียกประชุม มันเป็นความกดดันมากเลยอ่ะกับการที่รับผิดชอบอะไรได้ไม่เต็มที่สักทางนึงน่ะ

Dbs : แต่ว่าตอนที่ทำ 15 ปี มันรู้สึกว่าเราสนุกกับแฟชั่น เราอยู่ในเทรนด์เราทันสมัย

กวี : แน่นอนสนุก แต่มันกลายเป็นว่าเรามีอย่างอื่นที่เข้ามาแชร์ความสนุกไป เช่น การวาดรูปที่เราทิ้งไปนาน การเห็นเพื่อนๆ มีชีวิตเป็นศิลปินแล้วมีความสุขจริงๆ แบบที่ไม่ต้องออกหน้าออกตา มีเพื่อนพี่คนหนึ่งแสดงงานปีละครั้งแล้วอยู่ได้ทั้งปีเลย ปีละประมาณไม่เกิน 30 ชิ้นขายหมดทุกปีชื่อพี่ยุทธ-สุริวงศ์ นี่ที่เขาหาที่ให้พี่แสดงงานที่เชียงใหม่ ปีหนึ่งแสดงงาน 30 ชิ้นแล้วที่เหลือนั่งเล่นนอนเล่นไป พี่ก็บอกว่าพี่ยุทธอยากใช้ชีวิตแบบนี้ แกก็บอกก็ออกมาสิ คือเขาเป็นคนไม่พูดมากพูดตรงๆ พี่ก็อ๋อเหรออือ…ก็ได้ คือเขาใช้ชีวิตแบบนั้นให้เราเห็น แต่ในขณะที่เราไปไหนวันหนึ่งสองวันเราก็เครียดแล้ว เพราะเราอยู่ในกรุงเทพฯ

สำหรับพี่แมนตอนนี้ยังติดเรื่องโฆษณาอยู่นะแต่พี่มีความสุข ปรากฏว่าแอคติ้งโค้ชเป็นสถานะที่ทุกคนให้เกียรติมากๆ ยิ่งกว่าสไตลิสต์อีกนะ สไตลิสต์จะประมาณว่าเสื้อตัวนี้ไม่สวยอ่ะทำไมตัดมาแบบไม่เข้ารูป แต่พอแอคติ้งโค้ชไปถึงเขาบอกว่าพี่แมนคะหนูอยากได้อยากให้น้องทำอย่างนี้ค่ะ ไหนดูสิ ได้เดี๋ยวชั้นจัดให้ ปรากฏว่ามีเกียรติขึ้นไปเรื่อยๆ สไตลิสต์กับเป็นบุคคลที่ถูกดูเพ็งเล็งว่า มึงจะทำงานรอดไหม มึงตัดชุดรอดไหม ฟิตติ้งวันนี้นะมึง รองเท้ามึงมีสีนี้หรือยัง รองเท้าต่างหูมึงมีหรือยัง กลายเป็นแบบคนที่ถูกกดดันมากที่สุดคือคนทำชุดถ้าชุดไม่รอดงานนั้นก็เจ๊ง แต่ว่าที่มาใน Finally ว่าทุกอย่างรอดแล้วนะ คือเรื่องอารมณ์เดี๋ยวเจ้จัดให้ทุกคนฟังเรา พี่ก็เลยแฮปปี้กว่าทำสไตลิ่งอีกนะ

ตอนนี้เราก็ยังไปงานต่างๆ นะ แต่ไปที่อยากไปจริงๆ ก็แค่โทร.ไปหาเพื่อนๆ แต่เมื่อก่อนนี้ตอนวิ่งเข้าแพรวปุ๊บก็ต้องไปดูกล่องจดหมาย หน้าที่เลยว่าจะมีอะไรเข้าอะไรออก รีบเลยติดต่อ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นไรฟังข่าวอยู่ห่างๆ แล้วถ้าอยากไปงานไหนชั้นโทรไปเองเป็นอย่างนี้ แต่ก็ต้อง keep connection ไว้นะ งานที่ทำให้พี่ต้อง keep connection ได้อยู่คือปฎิทินช่อง 3 ซึ่งยังไงก็ต้องทำเพราะเป็นลูกค้ากันมาเกือบ 10 ปีแล้ว ปฏิทินทุกอันมีหลายๆ ปีที่พี่ไม่ว่างก็กลายเป็นคนอื่นๆ ทำแต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นว่าพี่ทำมาตลอด 6 ปี ยังไงต้องทำอันนี้

Dbs : ทำไมถึงเลือกวาดรูป Portrait

กวี : พี่ลองเขียนแล้วครับเขียนวิว เขียนดอกไม้ เขียน Abstract ปรากฏว่ามันไม่บอกอารมณ์ แต่คนมันบอกอารมณ์ อีเปลวไฟเนี่ย วันนั้นพี่โมโหมา แล้วก็รูป Immigration รูปผู้หญิงที่นั่งอยู่ วันนั้นก็คงเป็นวันที่แบบว่าโอ้ยวันนี้เบาๆ เถอะ มันเป็นเรื่องที่บอกอารมณ์ได้ดีหมดทุกสิ่ง พอ Alexander Macqueen ตายไปพี่ก็สลดเลยพี่ก็วาดเขา มันเกิดจากการปฏิกิริยาของเรากับสิ่งที่เกิดขึ้นในความรู้สึก เพราะว่า Abstract เนี่ยพี่รู้สึกว่ามันไม่สื่อ เพราะพี่ลองเขียนหมดแล้วทุกสิ่งอย่าง สมมติว่าวันหนึ่งที่พี่ไม่มีเวลากับงานเขียนภาพสีน้ำมัน พี่ก็ตวัดเลย 5 นาที สีหมึกจีนครับ ไม่ได้ร่างครับ ร่างไม่ได้มันจะไม่ฟรีจึงลงเลย ในหนึ่งเล่มอาจจะสวย รูปนี้ใช้ไม่ได้ก็เก็บ ความจริงมันจะมีรูปที่ใช้ได้อยู่ในนี้ ถ้าเราบอกว่ารูปนี้ต้องสวยมันจะไม่ออกเลยภาพมันจะแข็งเป็นหินเลย มันก็จะฟิกซ์

แต่พี่จะมีงานที่ระบายอารมณ์ และงานอยากเขียนและงานที่จริงจัง พี่ต้องเขียนสลับกัน ถ้าเรามาล็อคกับพวกนี้ตลอดเราจะสั่งเขาเรียกว่าอารมณ์มันจะค้างอ่ะมันจะติดขัด พี่ต้องมาปลดปล่อยกับพวกนี้เขียนแบบไม่ต้องคิด พอเราทำตรงนี้จนปล่อยออกไปแล้วนี่กลับมาตรงนี้อีกเราจะทำได้สวยไม่สวยเรื่องของมันเขียนไป อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีผิดไม่มีถูกนะสนุกๆ ปรากฏว่างานตรงนี้กลับทำให้พี่มีอิสระกับความคิดมากกว่างานแบบนี้ ทำให้พี่ได้ปลดปล่อย ก็พกตลอดเวลาแค่นี้อุปกรณ์มีแค่หมึกจีน เขียนที่ไหนก็ได้บนรถก็ได้ นั่งรถไปทำงานก็เขียนได้

art5Dbs : คิดไหมคะว่าปีหนึ่งเราต้องจัดเอ็กซิบิชั่น

กวี : คิดครับ ต้องบังคับตัวเอง คือ Tata Gallery เนี่ยก็คือเป็นสัญญาใจกันเลยว่า พี่แมนจะต้องมีงานให้อย่างน้อย 15 ชิ้น คุณเจ้าของเขาเป็นน้องเด็กกว่า นั่นคือ 1 โปรเจคท์ที่เราต้องทำ

Dbs : คุณตั้งใจว่าในปีหนึ่ง คุณจะให้เวลาวาดรูปทำงานหนักกี่เดือน   

กวี : พี่ทำทุกวันเลยครับใน 365 วัน พี่มีงานเพ้นท์ของพี่ติดตัวไปทุกวัน ถ้าไม่ใช่เพ้นท์สีน้ำมันก็จะเป็นเพ้นท์หมึกจีนก็จะเป็นเอ็กซิบิชั่นได้เหมือนกัน งานที่แสดงที่ Tita พี่แสดงภาพสีน้ำมัน ปีนี้พี่อาจจะเป็น drawing ก็ได้หรือแบบสีน้ำสะบัดๆ พี่ไม่อยากให้งานแต่ละปีของพี่ซ้ำนะครับ แล้วที่นี่พี่แสดงสีน้ำมันเสร็จเดือนหน้าพี่อาจจะปลดลงหมดเป็นงานสีอะคริลิคที่ขาวดำล้วนแต่พี่วาดทุกวัน สีน้ำมันพี่จะวาดที่นี่ ส่วนสีอะคริลิคกับสีน้ำพี่จะวาดที่บ้านเพราะว่ากลิ่นมันทำให้เราป่วยพี่วาดที่นี่เท่านั้นที่นี่โฟลว์

Dbs : เวลาทำงานสร้างสรรค์ภาพคือที่คุณบอกว่าเรื่องอารมณ์สีสรรนี่คุณเลือกยังไง

กวี : ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนที่ตัวเองชอบหลายอย่างชอบแฟชั่น มันแบ่งอารมณ์ยังไงอ่ะ ไม่ได้แบ่งนะ มันแล้วแต่อารมณ์จริงๆ มันขึ้นอยู่ที่เครื่องมือในมือด้วย วันนี้มาเขียนสีน้ำมันบางรูปก็สะบัด บางรูปที่เขียนกระโชกโฮกฮากปาดแล้วปาดอีก กลับบ้านหรืออยู่บนรถมีพู่กันก็ขยี้อย่างเดียว ซึ่งก็เป็นอีกคอลเลคชั่นหนึ่ง ซึ่งพี่ทำงานวนเวียนอย่างนี้ ทำให้พี่ไม่เบื่อ โชคดีมากเลยทำได้หลายแบบทำให้เราไม่เบื่อ กับการที่ตั้งเฟรมอยู่อันหนึ่ง แล้วนั่งมองมันงานจะไม่เดิน แต่ในขณะที่เราเดินไปปลูกต้นไม้แป็บนึงเดินกลับมาเขียนอันนี้หรือ Drawing พี่มี drawing ด้วย เอ้า! สุดท้ายพร้อมแล้ว เพราะสีน้ำมันมันต้องใช้พลัง พร้อมสีน้ำมันเมื่อไรใจมันต้องพร้อมจะเป็นงานหนักสุดคือทำให้เรามีทางเลือกให้เราได้เฉบ้างเล็กน้อย

Dbs : ตอนนี้เป็นศิลปินที่ยังคงแฟชั่น แต่งตัวแฟชั่น ใช้ชีวิตที่แฟชั่น

กวี : ใช่ ก็ต้องไม่อายเขา ไม่ใช่แบบว่าไปสั่งๆ เขาแล้วตัวเองคีบแตะอย่างนี้ก็ไม่ใช่ การแต่งตัวยังต้อง keep ไว้ บุคลิกหน้าผมยังต้อง keep ไว้ต้องให้ดูดี เพื่อไปถึงคนจะได้แบบว่าไม่ลุคดาวน์นะไม่มีปัญหาเดินช็อปเสื้อผ้าบ่อยๆ อะไรอย่างนี้ ส่วนมากเด็กๆ จะโทรมาบอกว่าคุณพี่เลิศมากตอนนี้ที่นี่ที่โน้น พี่ฝึกเด็กจนมันสามารถซื้อเสื้อผ้าแทนพี่ได้พี่ไม่ต้องไปด้วยความที่เราชอบสอน เขาฝีเย็บ 18 เข็มในหนึ่งเซ็นนะ

Dbs : คุณเป็นสไตลิสมา 20 ปี แต่ตอนนี้คุณคือศิลปินมือใหม่มากๆ

กวี : ใช่ครับ ขอเป็นแบบศิลปินหน้าใหม่ที่ตั้งใจมากๆ คือเราอยู่วงการอื่นเราอาจจะเป็นเก๋า อาจจะเก๋าเกมส์ในเรื่องวงการแฟชั่น แต่วงการศิลปินพี่บอกได้เลยว่าพี่เพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึง 6 เดือน ฉะนั้นเนี่ยศิลปินคนนี้เขาคิดว่าตัวเองสู้มากอ่ะ ทำงานทุกวันตาคล้ำเนี่ย วาดรูปถึงตี 3 ทุกวันไม่มีวันหยุดนอกจากป่วย จนเด็กๆ มันบอกว่าพี่แมน ตี 3 แล้วพี่แมนยังอินสตาแกรมอยู่เลย วาดเสร็จมันอยากโชว์ วาดเสร็จปุ๊บมาดูกับปั๊บเนี่ยอื้อหืออินสตาแกรมเลยค่ะ my new painting หรือ my new drawing เด็กๆ จะรับอินสตาแกรมพี่ตอนตี 3 ตี 3 ครึ่ง เพราะว่าอยากทำงานทุกวัน ทำงานเสร็จ 6 โมงเย็นกินข้าวกินปลา ดูซีรีย์สักตอนหนึ่ง แล้วก็เปิดเลยตู้เย็นสีน้ำมันพี่จะเก็บในตู้เย็น เริ่มใหม่ทีวีก็เปิดไปคลอๆเป็นเพื่อน มีหมาแมวนอนอยู่เกลือกกลิ้งไปมา เขียนได้เท่าไหนเท่านั้น แต่วันที่เขียนเสร็จนี่นะพวกมึงไม่ต้องสืบเลยเขียนเสร็จอินสตาแกรม รู้ว่าผิดเวลาก็จะอินสตาแกรมคือตั้งใจจริงๆ

art7

 

 

 

Leave A Comment