CABOCHON HOTEL
“พักผ่อนหย่อนอารมณ์ในบรรยากาศคลาสสิควินเทจสุดประทับใจ”
Text: Boonake A.
Photo: ภคนันท์ เถาทอง
ในงานสัมมนา “Creativity Unfold” ที่จัดโดยศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ(TCDC) ครั้งหนึ่งที่ผมเคยได้เข้าร่วม ผมจำได้ว่าเกสต์สปีกเกอร์คนหนึ่งที่ผมตั้งตารอคอยรับฟังไอเดียของเขาในงานสัมนาวันนั้นก็คือTyler Brûlé บรรณาธิการบริหารของ Monocle นิตยสารเชิงไลฟ์สไตล์ เศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่ทรงอิทธิพลฉบับหนึ่งของโลก
เอาเป็นว่าถ้าความทรงจำของผมยังทำงานได้ดี เนื้อหาที่ไทเลอร์พูดในวันนั้น ที่ผมพอจะสรุปรวมความได้ในวันนี้ ก็คือประเด็นที่เกี่ยวกับสภาพเมืองของกรุงเทพฯ ที่กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เขาพูดไว้อย่างน่าสนใจว่าลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพฯ จะมีการซ้อนทับกันทางกายภาพของเมือง พูดง่ายๆ ก็คือในมาสเตอร์แพลนของเมืองใหญ่ จะมีพื้นที่เมืองในระดับจุลภาคที่ซ่อนตัวอยู่ โดยทั้งสองพื้นสามารถเชื่อมต่อกันด้วยตรอกซอกซอยทั้งเล็กใหญ่กระจายไปในเกือบทุกพื้นที่
ความทับซ้อนกันตรงนี้นี่เองที่ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่เป็นวัตถุดิบชั้นดีในการนำมาต่อยอดเล่าเรื่องให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และมักจะมีสถานที่ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hidden Gem ถูกแอบซ่อนเอาไว้หลายแห่งรอคอยให้เราเข้าไปค้นพบได้ไม่รู้จบ
ฟังดูแล้วมาคิดตาม ผมก็เห็นด้วยกับบรรณาธิการของ Monocle เพราะอย่างที่รู้กันว่ากรุงเทพฯ มีคาเฟ่ เก๋ๆ โฮสเทลฮิปๆ หรือแม้กระทั่งร้านอาหารไฟน์ไดนน์นิ่งดีๆ ถูกเก็บเอาไว้ซ่อนในซอยมากมายหลายแห่งกระจายตัวครอบคลุมเกือบทุกย่านของเมืองเช่นเดียวกับบูติคโฮเทลที่ผมได้มาเจอแห่งนี้ ซึ่งก็คือ Cabochon Hotel ที่ถูกแอบซ่อนตัวลึกลับในซอยสุขุมวิท 45 เรียกว่าถ้าไม่สังเกตดีๆ คุณจะไม่รู้เลยถึงความมีอยู่ของบูติคโฮเทลแห่งนี้ จนทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นเพชรเม็ดงามที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการโรงแรมที่มีสไตล์เฉพาะตัวชนิดที่หาได้ยากจากโรงแรมนับหมื่นนับพันแห่งในกรุงเทพนั่นเป็นเหตุผลที่ชักชวนให้ Day Heaven ฉบับนี้ต้องมาสัมผัสให้เห็นกับตาและความรู้สึก เพื่อนำมาเล่าให้ผู้อ่านได้ฟังกัน ถึงความดีงามในแง่มุมต่างของบูติคโฮเทลแห่งนี้
ก่อนที่จะไปว่ากันถึงรายละเอียดภายในโรงแรม สิ่งที่น่าสนใจอย่างแรกก็คือคำว่า Cabochon ซึ่งเป็นชื่อของโรงแรม ที่แปลได้ว่า “พลอยหลังเบี้ย” ที่มีลักษณะเป็นก้อนทรงกลมคล้ายหลังเต่า อันเป็นรูปแบบการเจียระไนพลอยในยุคแรกที่มนุษย์ได้เคยทำกันมา
ซึ่งการเจียระไนรูปแบบนี้สามารถทำไห้ตัวอัญมณีสามารถส่องประกายได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเจียระไนเหลี่ยมมุมใดๆ เลย นี่เป็นความพิเศษของ Cabochon ที่ถูกนำมาใช้ตั้งเป็นชื่อเพื่อสื่อความหมายถึงความสวยงามที่สามารถส่องประกายได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะถูกนำไปไว้ในที่แห่งใดก็ตามเช่นเดียวกับตัวโรงแรมที่แม้จะถูกแอบซ่อนไว้ในซอย แต่ก็สามารถเปล่งประกายความสวยงามให้คนได้รับรู้ถึงความงามนั้นได้โดยไม่ต้องเรียกร้องความสนใจใดๆ เลย
เรียกว่าแค่ชื่อสถานที่ก็มีความน่าสนใจ แต่เมื่อพลันก้าวเท้าเข้าสู่ตัวอาคารรูปทรงคลาสสิคสไตล์โมเดิร์นวิคตอเรียน ก็ยิ่งพบความน่าสนใจมากขึ้นไปกว่านี้อีกหลายเท่า หลังจากที่เจ้าหน้าต้อนรับพาผมไปนั่งชิลล์ภายในห้องรับรองหลักของโรงแรมที่ชื่อว่า “Joy luck Club ”ซึ่งในห้องนอกจากใช้เป็นที่รับรองแขกแล้ว ยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งการเป็นห้องรับรองแขกเพื่อรอเช็คอิน ห้องพักผ่อนส่วนกลาง ห้องสันทนาการ รวมใช้เป็นพื้นที่ทานอาหารเช้าได้ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่น่าพูดถึงของห้องแห่งนี้คือธีมการตกแต่งที่สามารถสะท้อนภาพรวมความเป็นตัวตนของบูติคโฮเต็ลสุดชิคค์นี้ได้เป็นอย่างดี
ในเรื่องการตกแต่งผมได้สอบถามจากผู้จัดการโรงแรม ก็ได้ความว่าทั้งหมดถูกสร้างขึ้นภายใต้ธีม Classic Vintage โดยมีการระบุยุคสมัยของช่วงเวลาไว้ที่ปี 1920 เจืออารมณ์แบบ Chinese Colonial เข้าไปเป็นส่วนผสม โดยผู้ออกแบบตกแต่งก็คือเจ้าของโรงแรมที่ชื่อมิสเตอร์ ยูจีน เหย่
พอพูดชื่อนี้ออกมาผมก็จับเซนส์ความเป็นตัวตนของโรงแรมแห่งนี้ได้ทันที เพราะมิสเตอร์ยูจีนเคยเป็นอดีตเจ้าของโรงแรมบูทีคโฮเทลที่ชื่อ The Eugenia ที่โด่งดังในความสวยงามแบบวินเทจที่โดดเด่น
ไม่เพียงแต่การตกแต่งที่ในสไตล์วินเทจที่ขรึมขลัง มิสเตอร์ยูจีนยังนำเอากิมิคเล็กๆ ที่สะท้อนความเป็นยุคสมัยของเมืองเซี่ยงไฮ้ในปี 1920 มาแอบซ่อนไว้ในรายละเอียดต่างๆ ของห้องนี้ ปรากฏอยู่ตามกรอบประตูหน้าต่างไม้ไสตล์จีนแถมยังมีสร้างบรรยากาศสงบนิ่งเงียบขรึม ราวกับภาพฉากสำคัญในภาพยนตร์ In The Mood For Love ของ หวาง เจียเว่ย์(หว่องกาไว) ยิ่งรวมเข้ากับเพลงแจ๊สสไตล์ Ragtime ที่ถูกนำมาเปิดคลอ ก็ทำให้ได้ความรู้สึกเช่นนั้นมากเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ต้องแนะนำเลยสำหรับใครที่ชอบจ่อมจมกับบรรยากาศแห่งสุนทรียะในความเหงา หรือที่เขาบอกกันว่าซึมเศร้าเหงาแบบหว่อง คุณต้องชอบมานั่งแฮงค์เอาท์ในห้องนี้แน่นอน
นอกจากความอบอวลด้วยบรรยากาศแบบหว่องแล้ว ตัวมิสเตอร์ยูจีนเอง ยังนำขอสะสมโบราณส่วนตัวสุดคลาสสิค ที่เป็นของใช้วินเทจของนักเดินทางต่างๆ โมเดลเครื่องบินโบราณขนาดใหญ่ รวมถึงหัวสัตว์จำลอง มาประดับไว้ในห้องราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์ของนักเดินทางโบราณ ยิ่งทำให้ความหมายของห้อง Joy Luck Club มีมากขึ้นมากกว่าแค่การห้องนั่งสำหรับแฮงค์เอาท์ชิลล์ไปอีกมาก
ความดีงามของสไตล์วินเทจอันจัดจ้านยังแผ่ขยายไปยังส่วนต่างของโรงแรมอีกมากมาย โดยเฉพาะในส่วนห้องพักที่มากถึง 7 รูปแบบห้อง แบ่งออกมาได้เป็น 14 ห้องที่ใช้รับรองแขกผู้เข้าพัก ซึ่งก็นำสิ่งละอันพันละน้อยเช่นเดียวการตกแต่งในห้อง Joy Luck Club มาใช้
โดยในแต่ละห้องทั้งแบบ Queen Studio,Twin Bed,Corner Suite , Balcony Suite รวมถึงห้อง Two Bedroom และ Three Bedroom ก็ได้รับอิทธิพลการออกแบบทุกเหลี่ยมมุม รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ใน มาจากสไตล์ Classic Vintage และ Chinese Colonial เช่นกัน ซึ่งต้องบอกว่านี่ประสบการณ์เอ็กซ์โซติกที่ยากจะหาได้จากการเข้าพักในโรงแรมไหนในประเทศไทย
หรือถ้าชอบลิ้มลองรสชาติอาหารแบบสตรีทฟู๊ด ทาง Cabochon ก็มีบริการไว้ให้คุณได้ลิ้มลองกันหลากหลายเมนูในร้านอาหาร Lao Yeh เรียกว่าถึงเครื่อง ถึงรสชาติ ในแบบร้านอาหารข้างทางแบบแท้ๆ บนนบรรยากาศแห่งความรื่นรมย์แบบ Good Old Day เรีกว่าได้เสฟทั้งรสชาติ และสัมผัสการออกแบบตกแต่งที่ต้องบอกเลยว่าจัดแต่งได้ถึงจริงๆ
หากใครอยากมาสัมผัสกับสิ่งที่ผมได้บอกไป ก็มาลองกันได้ที่บูติคโฮเทล สุดเอ็กซ์คลูซีฟแห่งนี้ รับรองคุณจะได้ทุกสิ่งที่เราได้พูดไปทั้งหมด ซึ่งหากรวมกับบริการที่เกิดจขึ้นจากคอนเซ็ปต์ “Arrived as a guest,Leave as a friend” ของพนักงานที่พร้อมช่วยเหลือคุณในทุกเรื่องด้วย Cabochon Hotel ก็จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์แห่งความประทับใจในการพักผ่อน ที่คุณยากจะลืมเลือน ผมกล้าพูดแบบนี้ได้เลย
Contact: 14/29 ซอย สุขุมวิท 45 แขวง คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110 Tel: 02 259 2871