BEFORE SUNSET
ก่อนตะวันลับขอบฟ้า
ที่บ้านตากอากาศหลังใหม่ ของ ริก้า ดีล่า
Text: นวภัทร ดัสดุลย์
Photo: ฉัตรชัย เจริญพุฒ
อาคารคอนกรีตสีขรึมเทาที่วางตัวขนานไปกับเส้นตัดขอบฟ้าเหนือผืนดินที่ลาดเอียงลึกลงไปทางทะเล พื้นที่อยู่อาศัยที่ค่อยๆ ลดหลั่นระดับชั้นลงไปตามลักษณะภูมิทัศน์ โดยเปิดหน้าอาคารออกสู่ชายหาดตะวันรอนอันเงียบสงบ แม้ภาพรวมของสถาปัตยกรรมโมเดิร์นที่ภายนอกดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา ทว่าความน่าสนใจที่ซ่อนอยู่ภายในบ้านตากอากาศหลังใหม่ของคุณริก้า ดีล่า หลังนี้ คือการจับคู่สีสันและการผสานเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง ภาพเขียน ตลอดจนงานประติมากรรมชิ้นโปรด ซึ่งสะท้อนความเป็นเธอลงไปในทุกพื้นที่อย่างชัดเจน
คุณริก้าเล่าย้อนไปถึงความประทับใจในวันวานของเมืองตากอากาศชายฝั่งทะเลตะวันออกว่า “สมัยเด็กๆ เราจะชอบมาเที่ยวพัทยาแล้วก็สัตหีบ สัก 16 – 17 ปีที่แล้ว” พร้อมเล่าต่อถึงเมื่อครั้งที่เธอได้มาพบที่ดินเปล่าผืนนี้ครั้งแรกเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ซึ่งภายหลังตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนประจวบเหมาะกับความพร้อมเรื่องงบประมาณ เธอจึงไม่ลังเลที่จะตัดสินใจซื้อที่ดินเปล่าผืนนี้จากเจ้าของโครงการมาครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ในที่สุด คุณริก้าให้เหตุผลว่า “ชอบมาก เพราะที่แบบนี้หาไม่ได้แล้ว ขับรถ (จากกรุงเทพฯ) มาชั่วโมงนิดๆ คุณก็ได้อยู่ในอีกโลกหนึ่ง แต่ขับไป 20 นาที ก็คือเมือง (พัทยา) คุณสามารถซื้อทุกอย่างได้ จะซื้อไวน์ จะซื้อชีส มีทุกสิ่ง แล้วมันเป็น sunset ริก้าไม่ชอบ sunrise แล้วถ้าคุณดูหาดทรายก็เป็นทรายขาว มันแบบครบทุกอย่าง ดีมาก”
ในส่วนของการออกแบบและการตกแต่งภายใน คุณริก้าได้สถาปนิกที่เธอไว้ใจและเป็นคนออกแบบบ้านหลังแรกของเธอมาก่อนอย่าง คุณวิฑูรย์ คุณาลังการ จากบริษัท ไอ เอ ดับบลิว จำกัด มาช่วยเนรมิตบ้านตากอากาศบนที่ดินผืนในสุดของโครงการบ้านอายุกว่า 50 ปี โดยที่เธอบอกว่าเอกลักษณ์ของบ้านแต่ละหลังของเธอจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม แต่ถึงกระนั้นยังคงมีกลิ่นอายที่สะท้อนความเป็นเธอซุกซ่อนอยู่ภายในเสมอ “เราพยายามทำให้อารมณ์ของบ้านแต่ละหลังไม่เหมือนกัน บ้านที่ปากช่องมันจะเป็นป่าก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่ง แต่ถ้าพูดถึงการตกแต่งมันคือกลิ่นอายของเรา พอดูบ้านหลังอื่นคุณก็จะรู้ว่านี่มันคือกลิ่นอายของเรา จากที่เคยชอบโซฟาแบบนี้มันก็จะไม่เป็นแบบอื่น มันไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น แต่แน่นอนคือบ้านที่อยู่ในเขากับบ้านที่อยู่ริมทะเลมันก็จะแตกต่างในการก่อสร้าง”
“เรามองว่าบ้านมันไม่จำเป็นต้องสวยอย่างเดียว มันต้องใช้งานได้
บางบ้านเรามีความรู้สึกว่าถ้าไม่ได้ตกแต่งเองมันก็ไม่มีความเป็นตัวเอง
ถ้ามีอินทีเรียช่วยก็ดีแต่สุดท้ายมันก็ต้องเป็นเรา
เพราะเราจะรู้ว่าใช้ชีวิตอย่างไร จะนั่งตรงไหน”ริก้า ดีล่า
ในระหว่างนั้นคุณริก้าได้พาเราเดินชมมุมต่างๆ ภายในบ้าน โดยเริ่มตั้งแต่ประตูทางเข้าจากโรงจอดรถที่อยู่ชั้นบนสุดของบ้านก้าวลงผ่านช่องทางเดินที่มีคอร์ดเล็กๆ มุ่งตรงเข้าสู่โหมดส่วนตัวบนชั้น 2 ของบ้านที่แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นสองฝั่ง ได้แก่ ส่วนห้องรับแขกที่เชื่อมกับแพนทรีและโต๊ะรับประทานอาหารทางฝั่งซ้ายของอาคาร และห้องนอนใหญ่ของคุณริก้าทางฝั่งขวา โดยมีสระว่ายน้ำด้านในสุดยื่นออกไปจรดแนวอาคารด้านหน้าในระดับที่ต่ำว่าห้องนั่งเล่นลงมาเล็กน้อย จากนั้นคุณริก้าพาเราก้าวลงบันไดไปสู่ชั้นล่างของอาคารที่เธอบอกว่า “เป็นโลกของลูก” นั่นคือพื้นที่ส่วนตัวของ 2 ชายหนุ่ม แก็บบี้ ลูกชายคนโต และรีโอ ลูกชายคนเล็ก ซึ่งแยกห้องนอนออกเป็นสองฝั่งโดย มีพื้นที่ส่วนกลางจัดเป็นมุมนั่งเล่นที่ผสานเฟอร์นิเจอร์ใหม่และเก่า งานศิลปะ และงานประติมากรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ก่อนตะวันลับขอบฟ้าในบ้านตากอากาศส่วนตัว คุณริก้าได้ให้คำนิยามทิ้งท้ายถึงบ้านในมุมมองของเธอไว้อย่างน่าสนใจ “เรามองว่าบ้านมันไม่จำเป็นต้องสวยอย่างเดียว มันต้องใช้งานได้ บางบ้านเรามีความรู้สึกว่าถ้าไม่ได้ตกแต่งเองมันก็ไม่มีความเป็นตัวเอง ถ้ามีอินทีเรียช่วยก็ดีแต่สุดท้ายมันก็ต้องเป็นเรา เพราะเราจะรู้ว่าใช้ชีวิตอย่างไร จะนั่งตรงไหน” ซึ่งนิยามที่ว่านี้เผยให้เห็นตัวตนชัดเจนเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ พื้นที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่สีสันของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งเข้าด้วยกัน การจัดวางงานศิลปะหลากแขนงที่แทรกตัวอยู่ในทุกมุมของบ้าน หรือมุมพักผ่อนที่สามารถใช้ชีวิตวันหยุดไปกับหาดทราย สายลม และเสียงคลื่นได้อย่างอิสระ
จากลานจอดรถด้านหลังอาคาร มีช่องทางเดินผ่านคอร์ดเล็กๆ ซึ่งปลูกต้นสาละลังกาและจิกน้ำที่กำลังรอวันเติบใหญ่ เข้าสู่โหมดส่วนตัวบนชั้น 2 ของบ้าน
พื้นที่ใช้สอยบนชั้น 2 แบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งมุมห้องรับแขกที่เชื่อมกับแพนทรี่และส่วนรับประทานอาหาร และฝั่งห้องนอนใหญ่ของคุณริก้า
บริเวณด้านหลังประตูทางเข้าที่เป็นระแนงเหล็ก ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยตู้กระจกที่คุณริก้าตั้งใจซื้อมาเก็บไว้แต่ปรากฏว่าเข้ากันได้ดีกับมุมเล็กๆ จึงนำมาตั้งไว้เพื่อเป็นมุมแขวนของใช้ เช่น หมวก กุญแจ และโคมไฟกระดาษตั้งโต๊ะรูปดาว รุ่น STRÅLA จาก Ikea ซึ่งคุณริก้าบอกว่าเป็นบุคลิกของเจ้าของบ้านที่จะต้องมีพร็อพกระจุกกระจิกตั้งอยู่ในทุกส่วนของบ้าน
ส่วนรับประทานอาหารจัดวางโต๊ะไม้ท็อปหิน Soprano table ออกแบบโดย Silvia Prevedello และเก้าอี้ June Chair ออกแบบโดย Emmanuel Babled และ Strip Chairs ออกแบบโดย Massimo Castagna ทั้งหมดจากแบรนด์ Henge
บริเวณห้องรับแขกประดับประดาด้วยของสะสม ของตกแต่ง และภาพเขียนไว้ตามมุมต่างๆ เน้นการจัดวางโซฟาบุหนังแบบโมดูลาร์คละสีสันแมตช์กับหมอนอิงทั้งแบบลายทางสลับหมอนอิงสีสด ที่ช่วยเติมความโดดเด่นให้มุมพักผ่อนไม่รู้สึกจำเจ คู่กับโต๊ะกาแฟ Nomad Table ออกแบบโดย Massimo Castagna จากแบรนด์ Henge และโคมไฟตั้งพื้นสีส้ม Taac ออกแบบโดย Umberto Asnago จากแบรนด์ Penta พร้อมขึงราวผ้าม่านโอบล้อมพื้นที่ไว้สำหรับเลื่อนเปิดรับแสงหรือเลื่อนปิดเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อน
สระว่ายจรดแนวอาคารด้านหน้าออกแบบโดยลดระดับต่ำว่าห้องนั่งเล่นลงมาเล็กน้อยตามลักษณะของภูมิทัศน์ที่ลาดเอียง ฝั่งติดกับห้องรับแขกสร้างโครงหลังคาระแนงต่ออกมาคลุมพื้นที่บางส่วนเพื่อป้องกันความร้อนลงมาปะทะในเวลากลางวัน ฝั่งหนึ่งเปิดโล่งเพื่อรับวิวทะเลโดยไร้สิ่งบดบังสายตา
ห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำในตัวของคุณริก้าเปลี่ยนโหมดอารมณ์ไปจากห้องรับแขกที่เน้นสีสัน ภายในเน้นโทนสีขาวดำจากลวดลายแพทเทิร์นของพื้นและผนัง ซึ่งคุณริก้าบอกว่าเธอไม่ชอบบ้านสีขาวล้วนเพราะดูน่าเบื่อและดูไม่มีคาเเรกเตอร์ แต่จะชอบสีขาวดำและการเล่นสีสันที่สนุกสนานมากกว่า
พื้นที่ส่วนกลางของหนุ่มๆ ชั้นล่างจัดเป็นมุมนั่งเล่นที่ผสานเฟอร์นิเจอร์ใหม่และเก่า งานศิลปะ และงานประติมากรรมเข้าด้วยกัน อาทิ เตียงสไตล์วินเทจ โต๊ะพูล ตู้ยาแผนโบราณ และบาร์เบอร์บาร์หรือโต๊ะบาร์จากร้านตัดผมชายที่ได้จากอเมริกา ที่คุณริก้าตั้งใจว่าจะทำเป็นบาร์เครื่องดื่มในอนาคต
ห้องนอนของแก็บบี้ลูกชายคนโต ได้คุณแม่มาช่วยประดับรูปภาพและตกแต่งรายละเอียดต่างๆ ออกมาได้อย่างน่าสนใจ
ประตูกระจกบานใหญ่เปิดออกสู่สนามหญ้า โดยริมสนามหญ้าด้านนอกบริเวณจุดเชื่อมต่อกับชายหาดมีระเบียงขนาดย่อม จัดเรียงเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ไว้เป็นมุมสำหรับนั่งพักผ่อนและสังสรรค์ยามตะวันลับขอบฟ้า